วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บันทึกถึงใยไหม ฉบับที่ ๘ "โรงเรียนน้องใยไหม"


ถึงลูกรัก อย่าแปลกใจ ที่แม่ตั้งชื่อบทความนี้ว่า "โรงเรียนน้องใยไหม" ยังคะ ลูกยังไม่ได้ห่างอกพ่อ แม่ ตา ยาย ไปไหนหรอกคะ พวกเรายังคอยดูแลลูกอยู่ แต่ ณ วันนี้ วันที่ลูกอายุได้ ๑ปีกับ๑๐ เดือน ลูกได้ออกสำรวจโลกใบเล็กๆ มากกว่าในบ้าน มากกว่าที่ที่ลูกคุ้นชิน ลูกเริ่มกล้าที่จะออกจากพื้นที่ save zone (พื้นที่ปลอดภัย) แล้ว แม่ดีใจที่ลูกเป็นเช่นนั้น เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่ลูกจะขยายพื้นที่ save zone ของลูกออกไปเรื่อยๆ ก็โลกใบนี้ มันใหญ่กว่าที่ลูกคิดไว้มาก
แม่ อยากมีส่วนร่วมในการขยายพื้นที่ save zone ให้ลูก โดยพาลูกออกจากพื้นที่ที่ลูกคุ้นชิน ให้บ่อยครั้งขึ้น ให้ไปเจอพื้นที่ใหม่ๆ ที่ลูกไม่เคยไป เช่น ไปประชุมกับกลุ่มผู้พิการ ทุ่งนาหลังหมู่บ้านเรา บ้านของเพื่อนบ้านที่แสนดีของเรา มุมที่มืดและลับที่สุดของบ้าน ในกรงของถุงเงินถุงทอง เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ ลูกได้สะท้อนผ่านพฤติกรรมหลายๆอย่าง ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น
๑. เดือน มิถุนายน ที่ผ่านมา แม่พาลูกไปประชุมด้วย แม่มีประชุมกับทีมผู้พิการ แม่มีประเด็นแฝงเช่นทุกครั้ง คือ แม่อยากให้คุณตาได้ไปเห็นผู้พิการที่เค้าพิการรุนแรง และออกมาทำงานเพื่อสังคมกัน และนั่นจะเป็นกำลังใจให้คุณตาดูแลรักษาตัวเอง และมีความหวังที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้คะ ส่วนลูก แม่เพียงไม่อยากให้ลูกกลัวเหล่าเพื่อนผู้พิการเหล่านี้ เพราะเค้าก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เช่นกัน ผลที่ได้ เกินคาดคะ นอกจากลูกไม่กลัวแล้ว ลูกยังเข้าไปยืนมองอย่างสงสัย
ลูกประทับใจป้าต่าย ตั้งแต่แรก เพราะป้าต่ายหยิบขนมเค้กกล้วยหอมที่แสนอร่อยให้ลูก และแล้ว ลูกก็นั่งกินอยู่ข้างรถเข็นป้าต่าย ไม่ลุกไปไหนเลย พอขนมหมด ลูกถามว่า "ขยะอยู่ไหนแม่" แล้วลูกก็เอากระดาษที่ห่อขนมไปทิ้ง น่ารักมากคะ และแล้วลูกก็เริ่มสงสัย ว่าทำไมป้าต่ายถึงนั่งบนรถ
"นี่อะไร" ลูกถาม
"รถเข็นคะ" ป้าต่ายตอบ
และก็สอดส่ายสายตาไปรอบๆห้อง ลูกพบว่า คนส่วนใหญ่ในห้องนี้ไม่ได้นั่งเก้าอี้ แต่กลับมีรถส่วนตัวมาด้วย (wheelchair) แล้วลูกก็หันมาหาป้าต่าย แล้วบอกว่า "ป้าต่ายซิ่ง" แม่อมยิ้ม ส่วนป้าต่ายยิ้มปากกว้างเลย เพราะแม่ไม่อาจคาดเดาว่า "ลูกจะคิดว่า สิ่งที่เห็นนั้นมันคืออะไรกัน" แต่ที่สำคัญ ที่วันนี้แม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ ลูกไม่กลัวคนพิการ และเมื่อไหร่ที่ลูกเจอคนพิการ ลูกพึงตระหนักไว้เสมอว่า เค้าคือเพื่อน และคือคนเหมือนกับเรา ลูกอย่าได้รังเกียจผู้พิการเป็นอันขาดนะคะลูก
ช่วงเย็นๆ แม่พาลูกไปบ้าน "ต้นคิดทิพย์ธรรม" บ้านนี้ลูกคุ้นชินอยู่ไม่น้อย เพราะไปไม่ต่ำกว่า ๓ ครั้ง นับตั้งแต่ลูกเกิดมา วันนี้ลูกได้เรียนรู้วิธีตกปลา ซึ่งลูกเคยเห็นแล้วครั้นตอนที่แม่พาลูกไปทุ่งนาหลังหมู่บ้าน แต่วันนี้ แม่ตกปลาตัวใหญ่(กว่าปลาซิว)ให้ลูกดู (ปลาทับทิม) แต่แล้ว ก็ปล่อยมันไป (กินไม่ลง สงสารมันคะ) แม่อ้างว่า มันยังเล็กอยู่ ยังกินไม่ได้ พอกลับมาที่บ้านเท่านั้นแหละ ลูกเหลือบตามองผ่านตู้กระจก เห็น"หัวโต" (ปลาหมอสี) ตัวบิ๊กเบิ่ม ลูกบอกแม่ว่า "ตัวนี้กินได้แม่ ตัวโตแล้ว" อ้าว ซะงั้น ต้องอธิบายอีกยกใหญ่ ว่า "พี่หัวโต" กินไม่ได้เพราะอะไร

๒. ห้องเรียนธรรมชาติของลูกอีกแห่ง ที่แม่พาลูกไปบ่อยๆ อยู่ไม่ไกลคะ หลังหมูบ้านเรานี่เอง มันเป็นที่ที่ลูกดูจะไม่สนใจนัก ในความคิดของแม่ เพราะเวลาลูกไป ลูกดูจะหงุดหงิด เพราะมันร้อนมาก มีแต่ทุ่งนาสีเขียว กับยอหนึ่งหลัง ที่แม่หอบไปเพื่อตกปลาซิวและกุ้งฝอยกลับมาทอดให้ลูก ครั้งแรก หนักสุด ลูกหลับอยู่ในรถเลย ครั้งที่สอง ลูกก็ออกมาวิ่งเล่นตามคันคลอง พอเหนื่อยและร้อนก็บอก "แม่อุ้มนาาาา" แล้วเราก็ต้องกลับ ครั้งล่าสุดที่ไป ลูกวิ่งเล่น เก็บดอกหญ้า เก็บผักบุ้ง ถามว่า "นั้นอะไร นี่อะไร" กับสิ่งที่ลูกเห็น
แล้วนี่ก็ทำให้แม่เบาใจ ว่า อย่างน้อยลูกก็เริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ และก็ทนกับอากาสร้อนได้มากขึ้น เพราะทุกครั้งที่ลูกกลับบ้าน ลูกก็ยังสบายดี ไม่ป่วยเลย (แล้วแม่จะพาไปอีกนะคะลูก)

๓. เราโชคดีมากที่มีเพื่อนบ้านที่แสนดี บ้านลุงเผือก-ป้าไหม ข้างบ้านรั้วติดกันเลย กลายเป็นพื้นที่ save zone ของลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ แม่ก็ยังไม่รู้ตัวเลย พอได้สติ ลูกก็คุ้นชินกับบ้านนี้แล้ว เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองเลยคะ ถัดมาเป็นบ้านคุณย่าแถม ปู่ยก บ้านนี้ลูกอยู่ได้ไม่นานนัก ถ้าไม่มีพี่ไนท์ คู่หูของลูก ถัดมาก็เป็นบ้านคุณย่าสินะคะ ไปไม่เกินยี่สิบนาที ก็จะกลับบ้านแล้ว ส่วนบ้านหลังอื่นๆ ก็เข้าบ้างเป็นบางครั้ง แต่ต้องมีแม่ไปด้วยทุกครั้ง
บ้านแต่ละหลัง มีความแตกต่างกันไป จึงเหมาะที่จะเป็นแบบฝึกหัดในการทำความ "เคยชิน" ให้กลายเป็นความ "คุ้นชิน" ของลูกคะ

๔. มุมที่มืดและลับที่สุดของบ้านมุมหนึ่ง ที่ลูกยังไม่เคยไปเยือนเลย แม่อยากให้ลูกคุนชินกับความมืด และแคบ จึงหามุมหนึ่งของบ้านที่แม้กระทั่งแม่เองก็ยังไม่เคยเข้าไป (เข้าไม่ได้) แต่แล้วก็กลับกลายเป็นเรื่องสนุกสำหรับลูก และคงดีใจที่เจอที่ซ่อนแอบแห่งใหม่ ที่น้อยคนนักจะหาเจอ (กลายเป็นงั้นไป) สงสัยต้องรอให้โตกว่านี้หน่อย ถึงจะเข้าใจ หรือไม่ก็หาที่ใหม่ ที่ไม่ใช่บ้านเพราะลูกอาจจะไม่กลัวเพราะเป็นบ้านของเราอยู่แล้ว

๕. ในวันที่แดดจัด วันหนึ่ง แม่ล้างกรงให้ถุงเงิน-ถุงทอง พอกรงแห้งแล้ว แม่ก็พาลูกเข้าไปนั่งเล่นและลองปิดกรงดู เป็นไปตามคาด ลูกร้องด้วยเสียงที่เป็นกังวล และไม่เข้าใจว่าแม่ทำอะไร สักพักแม่เปิดกรงออกมาแล้วบอกลูกว่า "นี่เป็นบ้านของถุงเงิน-ถุงทอง และมันต้องนอนอยู่ที่นี่ทุกคืน พอตอนเช้า มันจะร้องให้คนมาเปิดให้ ลูกก็คงเข้าใจแล้วนะคะว่า ทำไมมันถึงต้องร้องโวยวายให้คนมาเปิดให้ เพราะมันอยากออกไปอยู่ที่กว้างๆ เร็วๆ เหมือนลูกที่ร้องให้แม่เปิด ดังนั้น ลูกจงอย่าหงุดหงิด หรือเสียอารมณ์ และลงโทษมันนะคะ ลูกจงเข้าใจในสิ่งที่มันทำ จงเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ถึงแม้มันจะเป็นหมาก็ตาม แล้วลูกก็จะเข้าใจ"


บางครั้ง แม่ยอมให้ลูกเดินเท้าปล่าวบ้าง และช่วงหลัง ก็บ่อยขึ้น แม่รู้ว่ามันเสี่ยงกับการที่ลูกจะได้แผล เป็นดังคาดคะ วันนี้อุ้งเท้าลูกบวม เหมือนมีอะไรดำๆ ตำเท้าอยู่ เพราะเท้าลูกยังบางอยู่ ทำให้ถูกตำได้ง่าย แต่นั่นแหละ มันก็คือการเรียนรู้อีกเช่นกันนะคะลูก ความรู้สึกที่ใส่รองเท้าเดิน กับการเดินเท้าปล่าวนั้นต่างกันโดยสังเกต (ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้ซึ้งถึงความต่างนี้) แม่ก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบถอดรองเท้าเดินบนผิวสัมผัสที่ต่างออกไปเช่น สนามหญ้า หาดทราย ก้อนกรวด ดิน เป็นต้น ส่วนเรื่องแผลก็เป็นบทเรียนที่ดีให้ลูกได้ว่า ถ้าไม่ใส่รองเท้าเดินในหินที่แตก คม จะเป็นเช่นนี้เอง แต่ดีหน่อยที่ลูกแม่ไม่งอแงเลยคะ

ทุกที่ที่แม่พาไป คือโรงเรียนห้องใหญ่ ที่ไม่มีรั้วกั้น และมิอาจกั้นจินตนาการของลูกได้ จงเรียนรู้กับมันอย่างมีความสุขนะคะลูกรัก

จากคุณแม่ตัวกลม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น