วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ช่วยด้วย "ใครเอาเนยแข็งของฉันไป"

ในวันทำงานวันหนึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน หนังสือเล่มนี้เค้าการันตีด้วย bestseller ตัวอักษะสีขาวพื้นแดง หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า "ใครเอาเนยแข็งของฉันไป (Who Moved My Cheese?)" และเค้าก็บอกว่า "ขายได้กว่า 10 ล้านเล่ม" โอ้ว ต้องอ่านซะหน่อยแล้ว และแล้วด้วยเวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็อ่านรอบแรกจบด้วยความงงงงงง แต่ ด้วยความงงนี่แหละ ต้องหยิบไปอ่านต่อด้วยความตั้งใจอีกครั้ง

เมื่ออ่านจบแล้ว ต้องบอกต่อกันเลยทีเดียว เพราะเป็นหนังสือที่ดีมากมาย เบ้อเร่อเฮ่อ ...
ต้องขอขอบพระคุณ... อาจารย์เดชรัต ที่นำพาหนังสือดีดีมาวางไว้ที่ทำงานและทำให้ได้หยิบมาอ่าน...
ต้องขอบพระคุณคนเขียน ... นพ. สเปนเซอร์ จอห์นสัน
และที่สำคัญต้องขอบพระคุณคนแปล ...ดร.สืบศักดิ์ ศิริจรรยา ที่ทำให้เราอ่านแล้วเข้าใจง่ายขึ้น

หลังจากที่อ่านแล้ว ...ก็หันมาสำรวจตัวเองว่า เอ๊ะแล้วเราเป็นเหมือนใครในเรื่อง
ตัวเองบอกกับตัวเองว่า ...เราเหมือนเจ้าหนู "สนิฟฟ์"
เพราะว่าเรา ...ไม่เคยทุกข์ร้อนใดในทุกความเปลื่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เราพยายามปล่อยวาง ...เมื่อความเปลื่ยนแปลงนำมาซึ่งความสูญเสีย
เรายิ้มระรื่นได้ทุกครั้ง ...เมื่อความเปลื่ยนแปลงนำมาซึ่งความสุขสมหวัง

แต่อีกตัวตนหนึ่งภายในร่างเดียวกันก็แย้งว่า ...ไม่จริงหรอก ลองย้อนเวลาไปสิ
ลองคิดถึงตอนที่...พ่อเจออุบัติเหตุคาดว่าจะเป็นอัมพาตมันเป็นอย่างไร
ลองคิดถึงตอนที่...จะออกจากบ้านมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยมันเป็นอย่างไร(ร้องไห้อยู่ได้วี่ทุกวัน)
ลองคิดถึงตอนที่...เลิกทำงานแล้วเลือกที่จะเรียนต่อโทนั้นคิดหนักขนาดไหน
ก็นั่นสินะ...ก็เป็นเพราะเราไม่ยอมรับความเปลื่ยนแปลงใช่หรือไม่

และแล้ว ก็ตั้งสติถามใจตัวเองดูอีกที ...เลยปิ้งแว๊ปได้ไม่ยากเลยว่า เราก็เคยเป็นเหมือนทั้ง สนิฟฟ์ สเคอร์รี่ เฮม และ ฮอร์ นั่นแหละ
ก็ในบางเวลา ...เราก็ดันรับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย
เช่นว่า เราไม่เคยจะเป็นจะตายเลยเมื่อตอนเป็นสิว...ก็ยังเอาหน้าเยินๆ ด้วยสิวเม็ดโตๆ ออกไปโชว์ได้ทุกที่ อย่าได้แคร์
และในตอนนี้...ก็ไม่ได้จะเป็นจะตายเลยเมื่ออ้วนจนเกือบจะกลิ้งได้อยู่แล้ว
หรือแม้ว่า...คุณพ่อของน้องใยไหมจะอ้วนดำ...ก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ...และยังรักและห่วงใยแถมยังสุขใจอยู่ได้เสมอ

ในบางเวลา ...เราก็เตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงซะดิบดี
ก็จะไม่ดีได้ไง...เค้าบอกว่าโลกอาจจะเจอภัยพิบัติ...ก็ไปตุนของแห้ง ยารักษาโรค กระเป๋าชูชีพไว้ซะ...สองปีผ่านไปยังไม่มีโอกาสใช้เลย (บางอย่างก็ดันหมดอายุไปซะงั้ย หุหุ)

ในบางเวลา ...ก็ดันจมปลักกับงานและก็มึนกับมันจนเครียดไปเป็นเดือนๆ
ยังจำได้ดี...นานโขอยู่ที่จะทำใจทำงานนั้นต่อไปได้...ด้วยความสนุก


ถึงอย่างไรแล้ว...เมื่ออ่านหนังสือแล้วสะท้อนดูตัวเอง...ก็รู้สึกว่า...ยังดีนะ...สุดท้ายแล้ว เราก็ยังเรียนรู้และยอมรับมันได้ในที่สุด
นั้นคือ เราได้เรียนรู้วิธีรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งในการงานและในชีวิต

อยากให้ครอบครัว เพื่อนสนิทมิตรสหาย ได้อ่านและลองคิดดูว่า เราเหมือนตัวละครตัวไหนกัน
แล้วอย่าลืม เขียนมาเล่าให้กันฟังบ้างนะคะ

.................................................
ด้วยความปรารถนาดีจาก

กลมกลิ้งตัวแม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น