ในวันทำงานวันหนึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน หนังสือเล่มนี้เค้าการันตีด้วย bestseller ตัวอักษะสีขาวพื้นแดง หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า "ใครเอาเนยแข็งของฉันไป (Who Moved My Cheese?)" และเค้าก็บอกว่า "ขายได้กว่า 10 ล้านเล่ม" โอ้ว ต้องอ่านซะหน่อยแล้ว และแล้วด้วยเวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็อ่านรอบแรกจบด้วยความงงงงงง แต่ ด้วยความงงนี่แหละ ต้องหยิบไปอ่านต่อด้วยความตั้งใจอีกครั้ง
เมื่ออ่านจบแล้ว ต้องบอกต่อกันเลยทีเดียว เพราะเป็นหนังสือที่ดีมากมาย เบ้อเร่อเฮ่อ ...
ต้องขอขอบพระคุณ... อาจารย์เดชรัต ที่นำพาหนังสือดีดีมาวางไว้ที่ทำงานและทำให้ได้หยิบมาอ่าน...
ต้องขอบพระคุณคนเขียน ... นพ. สเปนเซอร์ จอห์นสัน
และที่สำคัญต้องขอบพระคุณคนแปล ...ดร.สืบศักดิ์ ศิริจรรยา ที่ทำให้เราอ่านแล้วเข้าใจง่ายขึ้น
หลังจากที่อ่านแล้ว ...ก็หันมาสำรวจตัวเองว่า เอ๊ะแล้วเราเป็นเหมือนใครในเรื่อง
ตัวเองบอกกับตัวเองว่า ...เราเหมือนเจ้าหนู "สนิฟฟ์"
เพราะว่าเรา ...ไม่เคยทุกข์ร้อนใดในทุกความเปลื่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เราพยายามปล่อยวาง ...เมื่อความเปลื่ยนแปลงนำมาซึ่งความสูญเสีย
เรายิ้มระรื่นได้ทุกครั้ง ...เมื่อความเปลื่ยนแปลงนำมาซึ่งความสุขสมหวัง
แต่อีกตัวตนหนึ่งภายในร่างเดียวกันก็แย้งว่า ...ไม่จริงหรอก ลองย้อนเวลาไปสิ
ลองคิดถึงตอนที่...พ่อเจออุบัติเหตุคาดว่าจะเป็นอัมพาตมันเป็นอย่างไร
ลองคิดถึงตอนที่...จะออกจากบ้านมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยมันเป็นอย่างไร(ร้องไห้อยู่ได้วี่ทุกวัน)
ลองคิดถึงตอนที่...เลิกทำงานแล้วเลือกที่จะเรียนต่อโทนั้นคิดหนักขนาดไหน
ก็นั่นสินะ...ก็เป็นเพราะเราไม่ยอมรับความเปลื่ยนแปลงใช่หรือไม่
และแล้ว ก็ตั้งสติถามใจตัวเองดูอีกที ...เลยปิ้งแว๊ปได้ไม่ยากเลยว่า เราก็เคยเป็นเหมือนทั้ง สนิฟฟ์ สเคอร์รี่ เฮม และ ฮอร์ นั่นแหละ
ก็ในบางเวลา ...เราก็ดันรับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย
เช่นว่า เราไม่เคยจะเป็นจะตายเลยเมื่อตอนเป็นสิว...ก็ยังเอาหน้าเยินๆ ด้วยสิวเม็ดโตๆ ออกไปโชว์ได้ทุกที่ อย่าได้แคร์
และในตอนนี้...ก็ไม่ได้จะเป็นจะตายเลยเมื่ออ้วนจนเกือบจะกลิ้งได้อยู่แล้ว
หรือแม้ว่า...คุณพ่อของน้องใยไหมจะอ้วนดำ...ก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ...และยังรักและห่วงใยแถมยังสุขใจอยู่ได้เสมอ
ในบางเวลา ...เราก็เตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงซะดิบดี
ก็จะไม่ดีได้ไง...เค้าบอกว่าโลกอาจจะเจอภัยพิบัติ...ก็ไปตุนของแห้ง ยารักษาโรค กระเป๋าชูชีพไว้ซะ...สองปีผ่านไปยังไม่มีโอกาสใช้เลย (บางอย่างก็ดันหมดอายุไปซะงั้ย หุหุ)
ในบางเวลา ...ก็ดันจมปลักกับงานและก็มึนกับมันจนเครียดไปเป็นเดือนๆ
ยังจำได้ดี...นานโขอยู่ที่จะทำใจทำงานนั้นต่อไปได้...ด้วยความสนุก
ถึงอย่างไรแล้ว...เมื่ออ่านหนังสือแล้วสะท้อนดูตัวเอง...ก็รู้สึกว่า...ยังดีนะ...สุดท้ายแล้ว เราก็ยังเรียนรู้และยอมรับมันได้ในที่สุด
นั้นคือ เราได้เรียนรู้วิธีรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งในการงานและในชีวิต
อยากให้ครอบครัว เพื่อนสนิทมิตรสหาย ได้อ่านและลองคิดดูว่า เราเหมือนตัวละครตัวไหนกัน
แล้วอย่าลืม เขียนมาเล่าให้กันฟังบ้างนะคะ
.................................................
ด้วยความปรารถนาดีจาก
กลมกลิ้งตัวแม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น