วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ก้าวสำคัญของดินสอพองหนึ่งเดียวในโลก


ปีกว่าแล้วสินะ สำหรับการเดินทางไป-หลับ ระหว่าง กทม.กับ จ.ลพบุรี นับครั้งไม่ถ้วน นึกถึงทีไร เป็นอันต้องเปิดตารางในสมุดโน๊ตเล่มเล็กที่อยู่ในสภาพที่ใครเห็นก็คงมองว่า “ไปผ่านสนามรบที่ไหนมา” เปิดดู
ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา เป็นการเข้าร่วมเวทีที่บอกไม่ถูกว่า “รู้สึกอย่างไร”
หากย้อนไปเมื่อปี 2553 มีคนถามดิฉันว่า “ตกลงว่าโครงการนี้เอาไง...จะเดินหน้าหรือหยุดเดิน” ไม่รู้ด้วยความดื้อหรืออะไรที่ทำให้ตอบไปว่า “เดินหน้าต่อคะ...”
ผศ.ดร.ดวง ทองคำซุ่ยหัวหน้า
โครงการสร้างสุขภาวะชุมชน:
ความยั่งยืนของชุมชนคนทำดินสอพอง
จากวันนั้น ใจทั้งใจ ลงไปกับงานนี้โดยไม่รู้ตัว แต่ละก้าวที่ทำงาน แอบชื่นชมกับความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้น เคยปลอบใจตัวเองเหมือนกันว่า “อย่างน้อย ใครมองไม่เห็น ก็ตัวเราเองที่เห็นและชื่นชมกับมัน” แต่เปล่าเลย มาถึงวันนี้ ผู้ที่ดูจะภาคภูมิใจกับงานนี้ที่สุดนั่นคือ ผศ.ดร.ดวง ทองคำซุ่ย ผู้ซึ่ง “มุ่งมั่น พากเพียร ทุ่มเท” ในการทำงานกับชุมชนบ้านหินสองก้อน มานานกว่า 7 ปี (เพิ่งทราบตอนประชุมครั้งสุดท้ายของโครงการ) 

ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมแววตาของอาจารย์ในวันนั้น ถึงทำให้ดิฉันน้ำตาคลอได้




เมื่อลองทบทวน คิด ตรึกตรองดูว่า กว่าจะถึงวันนี้ วันที่ชุมชนคนบ้านหินสองก้อน กล้ากระโดดออกมาบอกว่า “อยากรวมกลุ่มกันแล้ว อยากจะทำดินสอพองสตุบ้าง” มีช่วงไหนบ้างนะที่เป็นมูลเหตุสำคัญของเรื่องนี้
ภาพป้าพยงค์ กำลังเตรียมการสาธิตการหยอดดิน
และให้ผู้เข้าร่วมได้หยอดดินสอพองและให้เป็นของที่ระลึก
หรือจะเป็นเพราะ “การไปปรากฏตัว ในงานกาชาด จังหวัดลพบุรี” เมื่อต้นปี 54 ครั้งนั้น งานนั้นมีการสาธิตการทำดินสอพอง เริ่มตั้งแต่ ดินผง (ดินมาร์ลหรือดินขาว) จนกระทั่งหยอดออกมาเป็นดินก้อน หลากหลายขนาด งานนั้น มีทั้งคนลพบุรี และคนต่างพื้นที่ให้ความสนใจ และแสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่ว่า “คุณรู้สึกอย่างไร หากดินสอพอง จะหมดไปจากบ้านเรา(จ.ลพบุรี)”

ภาพการบอกเล่าเรื่องราวของดินสอพอง องค์ความรู้ต่างๆ
ให้กับคนที่มาเข้าร่วมงานกาชาด และสนใจเดินชมบูธ
ภาพผู้เข้าร่วมงานกาชาด แสดงความคิดเห็นในบูธ
"คุณรู้สึกอย่างไร ถ้าหากดินสอพองจะหมดไปจากเมืองลพบุรี"
และมีการวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับดินสอพอง ปรากฏว่า คำถาม 10 ข้อ มีคนตอบถูกทุกข้อไม่ถึงร้อยละ 10 ทั้งๆที่เป็นคำถามที่ทีมงานคิดว่า “คนลพบุรีควรต้องรู้กันทุกคน” เช่น แหล่งผลิตดินสอพองของจังหวัดอยู่ที่ไหน? เป็นต้น แต่นั่น ก็เป็นข้อมูลที่สะท้อนให้เราเห็นว่า “เราต้องทำงานนี้ให้หนักขึ้นอีกเท่าตัว” เพื่อให้คนในจังหวัดของเราได้รับรู้ข้อมูลเรื่องดินสอพอง และเห็นคุณค่ามากกว่านี้ เพราะนี่ เป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญของจังหวัดที่ว่า
“วังนารายณ์คู่บ้าน ศาลพระกาฬคู่เมือง ปรางค์สามยอดลือเลื่อง เมืองแห่งดินสอพอง เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เกริกก้อง แผ่นดินทอง  สมเด็จพระนารายณ์”
ไม่เพียงเท่านั้น อาชีพการทำดินสอพองยังเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ทรงคุณค่าของชุมชนบ้านหินสองก้อน ตำบลทะเลชุบศร ที่สืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ แต่งานนั้น ใครจะรู้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการพบเจอกับ นักเชื่อมประสานตัวยง อย่าง “คุณเครือวัลย์ ก้านลำไย” 



ในงานนี้ มีหลายคนยังไม่รู้ว่า ดินสอพอง คืออะไร? 
ดินสอพอง คือ ดินที่เกิดจากการผุพังของหินปูนและถูกน้ำพัดพามาสะสมอยู่ตามเชิงเขาหรือบริเวณที่ลุ่มยู่ลึกประมาณ 2 เมตร มีลักษณะเป็นสีขาวเกิดจากสารประกอบหินปูน ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า แคลเซียมคาร์บอเนต (calcium carbonate) ผสมอยู่มากกว่าร้อยละ 80 ซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ดินมาร์ล" 
แหล่งดินมาร์ลที่มีคุณภาพดี อยู่ในตำบลท่าแค และ ตำบลกกโก จ.ลพบุรี และกว่าจะมาเป็นดินสอพองที่เราเห็น ต้องผ่านกระบวนการแยกกากดิน โดยใช้น้ำฉีดกองดินมาร์ล (ดินดิบ) ให้ดินละลายมารวมกันในบ่อ โดยใช้ตะแกรงกรองเศษวัสดุต่างๆออก พักไว้ในบ่อกรองหรือบ่อเนื้อ ทิ้งไว้หนึ่งคืน ดินขาวก็จะเริ่มตกตะกอนนอนก้นบ่อ จากนั้นก็แยกน้ำออก เอาเนื้อดินไปหยอดผ่านแม่พิมพ์ ตากแดด 2-3 วัน ก็เป็นอันใช้งานได้



ดินสอพองยังมีส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (นำไปขัดผิวและตกแต่งรอยแตกร้าว) อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน (ใช้แยกเปลือกปาล์ม) อุตสาหกรรมสี (ผสมสีเพื่อให้เนื้อสีเนียน) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการสั่งซื้อดินสอพองไปใช้ดับไฟป่าในต่างประเทศด้วย ใกล้ตัวมาอีกนิด ในยาสีฟัน ธูป เครื่องสำอางค์ ก็มีดินสอพองเป็นส่วนประกอบหลัก นอกจากนี้ยังมีการนำดินสอพองไป รักษาแผลฟกช้ำ ใช้ทำไข่เค็มดินสอพอง  และปั้นหุ่นจำลอง หรือ องค์พระได้ด้วย
จังหวัดลพบุรี ได้ชื่อว่าผลิตดินสอพองที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด แห่งเดียวในประเทศไทย แหล่งผลิตอยู่ที่หมู่บ้านหินสองก้อน (อยู่ริมคลองชลประทาน) ในตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง (บริเวณสะพาน 6) เป็นหมู่บ้านที่มีการทำดินสอพองแทบแทุกครัวเรือน
อ.ประเชิญ คนเทศ ที่ปรึกษา
โครงการ โครงการสร้างสุขภาวะชุมชน:
ความยั่งยืนของชุมชนคนทำดินสอพอง 

เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 55 เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับคุณเครือวัลย์หรือคุณโอ๋ เป็นการเปิดวงคุยกับชุมชน ณ ใต้ต้นไม้ริมคลองชลประทาน แววของการเป็นผู้นำโดดเด่นมาก การให้ความสนใจ สอบถาม และการเสนอแนะ ทำให้ดิฉันอยากทำความรู้จักกับคุณโอ๋ให้มากขึ้น พอเสร็จจากวงคุยในพื้นที่ เรากลับมาคุยกันต่อที่ศูนย์วิทย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี พี่โอ๋ ตั้งใจตามมาคุยกับเราต่อ มีท่าน “อาจารย์ประเชิญ คนเทศ” ผู้ซึ่งมีส่วนช่วยให้ชุมชนตื่น และตระหนัก กับความยั่งยืนของอาชีพดินสอพอง เป็นโต้โผงานนี้ อาจารย์ดวง ทองคำซุ่ยและทีมเป็นตัวหลักในการทำงานวิจัยและประสานงาน และมีตัวแทนชุมชนมา 5 คน ร่วมพูดคุยวางแผนการทำงาน
คุณเครือวัลย์ ก้านลำใย
ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตสมุนไพร ตำบลโพธิ์ตรุ
พอพูดคุยกันเสร็จ ดิฉันรับอาสาไปส่งคุณโอ๋ที่บ้าน ระหว่างการเดินทางกลับบ้าน ได้ถามไถ่เกี่ยวกับการทำงานและเรื่องอื่นๆ ทราบว่า พี่โอ๋ทำงานเป็นประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผลิตสมุนไพรตำบลโพธิ์ตรุ เดิมที มีความตั้งใจจะมาขอซื้อดินสอพองสตุจากศูนย์วิทยาศาสตร์  คณะวิทยาศษสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี เพราะทราบข้อมูลจากการไปเดินเที่ยวงานกาชาดเมื่อต้นปี เห็นน้องๆมาออกบูธจัดนิทรรศการ แต่พอมาติดต่อ ได้ทราบว่า ทางทีมงานกำลังทำ “โครงการสร้างสุขภาวะชุมชน ความยั่งยืนของชุมชนคนทำดินสอพอง”อยู่ เมื่อรับฟังประเด็นปัญหาและข้อมูลของโครงการ พี่โอ๋เองรู้สึกว่า “ยอมไม่ได้ที่จะให้ดินสอพองมันหมดไปจากแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์แห่งนี้ซึ่งเป็นบ้านเกิดของพี่โอ๋เอง” จึงอาสามาช่วยผลักดันและขับเคลื่อนชุมชนให้จัดตั้งวิสาหกิจชุมชนบ้านหินสองก้อนให้ได้
เมื่อได้พูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมอง เรื่องราวของดินสอพองกัน ดิฉันสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ มุ่งมั่นกับงานนี้ หลังจากวันนั้น ดิฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณโอ๋ อยู่เป็นนิจ เพื่อปรึกษาหารือถึงลู่ทางการทำงานในพื้นที่ ที่สำคัญทีมงานของท่านอาจารย์ดวง ไม่ว่าจะเป็นคูณสุชาติ เหลาหอม  คุณสุรพล เขียวหวาน และคุณสุกัญญา จำปาทิพย์ ได้เป็นกำลังสำคัญในการเสริมหนุนเรื่ององค์ความรู้ต่างๆ ประสานงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงกับคุณโอ๋ อยู่เป็นประจำ
มเวทีเสวนาเรื่อง “ดินสอพอง...หนึ่งเดียวในโลก”
 ในงาน 
Organic and Natural Asian Expo2012
จนกระทั่ง วันหนึ่ง คุณโอ๋ชวนเข้าร่วมเวทีเสวนาเรื่อง “ดินสอพอง...หนึ่งเดียวในโลก” ในงาน Organic and Natural Asian Expo2012 ซึ่งกระทรวงพานิชเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 55 ที่เมืองทองธานี ในงานนี้ ทางทีมนักวิจัยในพื้นที่ ได้เตรียมดินสอพองสตุ จากศูนย์วิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี พร้อมบรรจุภัณฑ์ใหม่ ราคาใหม่ และให้ตัวแทนจากชาวบ้านมาขาย ระหว่างการพูดคุยกันในวงเสวนา ประกอบด้วย คุณพเยาว์  ผาสุขฐิน ชาวบ้านที่ทำดินสอพอง คุณสุชาติ เหลาหอม นักวิจัยในโครงการ  และดิฉัน ไปร่วมในนาม นักวิจัยและผู้ประสานงานจากมูลนิธินโยบายสุขภาวะ ภายใต้โครงการสนับสนุนจัดการความรู้และประเมินผล “บูรณาการการสร้างเสริมสุขภาพภาคกลาง (12 จังหวัด)” โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และนักธุรกิจผู้ประกอบอาชีพส่งออกสมุนไพร ระยะเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง ได้รับความสนใจจากผู้เข้ารับฟังอย่างมาก มีคำถามและข้อเสนอแนะจากผู้เข้าร่วมรับฟัง อาทิเช่น ทำไมต้องให้ชุมชนรวมตัวกัน เอกชนทำเองไม่ได้หรือ? ดินสอพองจะยั่งยืนได้อย่างไร? และ แล้วทำไมไม่สตุตั้งแต่แรก สตุแล้วปลอดภัยจริงหรือ? เป็นต้น งานนี้ ผู้เข้าร่วมเสวนารวมทั้งดินฉันเอง รู้สึกว่า มีผู้คนให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก
มีการแต่งตัวคล้ายดังหนุมาน
มาสร้างสีสรรค์ภายในงาน
ระหว่างการเสวนาบนเวที
และขายของที่บูธ ดินสอพอง
เมื่อเวทีเสวนาจบลง ดิฉันและทีมงาน ก็กลับมาที่บูธ เพื่อมาขายดินสอพองสตุ ปรากฏว่า ขายไปเกือบหมดแล้ว พี่ ป้า น้า อา จากชุมชนที่ยืนขายอยู่ มือเป็นระวิง ไม่รู้จะเอาเงินที่ได้ไปไว้ที่ไหน ดูวุ่นวายมาก แต่สีหน้าและแววตากลับบ่งบอกถึงความสุข สนุก กับการขายดินสอพองสตุครั้งนี้ พี่พเยาว์  ผาสุขฐิน พูดขึ้นมาว่า “โอ้โห...ขายดีขนาดนี้เลยหรือนี่ ทำดินมาตั้งนานไม่เคยขายได้อย่างนี้เลย นี่ขายไม่ถึงกิโล ได้เงินมาเกือบห้าร้อยบาท ถ้าเป็นที่บ้าน ต้องขายดินเกือบตัน กว่าจะได้เงินเท่านี้” ดิฉันได้ฟังเช่นนั้น ก็พลอยยิ้มไปด้วย และมีความหวังกับ “วิสาหกิจชุมชนดินสอพองสตุบ้านหินสองก้อน ตรา หนุมาน” ว่าต้องไปต่อได้แน่นอน
หลังจากนั้น ในวันที่ 29 มิถุนายน 2555 ทางทีมนักวิจัยโครงการ นำโดย ผศ.ดร.ดวง ทองคำซุ่ย ได้เปิดเวที “เชื่อมประสานเครือข่ายจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ในการทำดินสอพอง” โดยมีตัวแทนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดมาแลกเปลี่ยน พูดคุยกัน ในเวทีวันนั้นเองมีตัวแทนจากวิสาหกิจชุมชน อุตสาหกรรมจังหวัด พานิชจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด นักข่าว ฯลฯ มาเขาร่วมแลกเปลี่ยนกัน สร้างขวัญและกำลังใจให้กับชุมชนบ้านหินสองก้อนเป็นอันมาก วันนั้นมีคนในชุมชนเข้าร่วมกว่า 30 คน
ความพยายามของท่านอาจารย์ดวง และทีมงาน เปรียบเสมือน “การจุดประกายแห่งความหวัง” การลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลชุมชน การนำเสนอข้อมูล มุมมอง ใหม่ๆ ของพื้นที่ การพยายามสื่อสารเรื่องราวของดินสอพอง ในวงกว้าง โดยกลยุทธ์ต่างๆ นับไม่ถ้วน สุดท้ายแล้ว ใครจะไปรู้ว่า จะสามารถขับเคลื่อนงานมาได้ไกลขนาดนี้ ถึงแม้โครงการบูรณาการการสร้างเสริมสุขภาวะภาคกลาง (12 จังหวัด) จะปิดโครงการลง ตามธรรมชาติของงานวิจัย แต่นั่น ไม่ได้หมายความถึง การปิดตัวลงของ“โครงการสร้างสุขภาวะชุมชน ความยั่งยืนของชุมชนคนทำดินสอพอง เพราะถึงวันนี้ "เชื้อไฟแห่งความหวัง" ที่ถูกจุดไว้เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา กำลังค่อยๆลุกลามไปในชุมชนคนทำดินสอพอง บ้านหินสองก้อนและนำไปสู่การมีสุขภาวะที่ดีของคนในชุมชน

ความคืบหน้าล่าสุด (วันที่ 25 ก.ค. 55) กลุ่มชุมชนบ้านหินสองก้อน ได้จดทะเบียนเป็น “วิสาหกิจชุมชนดินสอพองสตุบ้านหินสองก้อน ตรา หนุมาน” อย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมทั้งส่งตัวอย่าง ดินสอพองที่สตุแล้ว ไปตรวจที่อุตสาหกรรมจังหวัด เพื่อให้ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ตอนนี้อยู่ระหว่างการรอผลตรวจ แต่ชุมชนไม่ละทิ้งโอกาส ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ ได้นำดินสอพองดิบ ไปสตุที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี และนำไปขายเพื่อทดสอบและหาตลาด ตอนนี้รวบรวมได้ประมาณ 500 กิโลกรัม ก้าวต่อไป ทางท่านอาจารย์ดวง แจ้งให้ทราบว่า ทางศูนย์วิทย์ฯ ยินดีให้ทาง “วิสาหกิจชุมชนดินสอพองสตุบ้านหินสองก้อน ตรา หนุมาน” ยืมเครื่องสตุ ไปใช้เพื่อสตุดินสอพองก่อน เนื่องจากจะมีการจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ที่เมืองทองธานี ในวันที่ 8-22 สิงหาคม 2555 ในงานนี้กลุ่มวิสาหกิจชุมชน จะนำดินสอพองสตุไปจำหน่ายอย่างเป็นทางการในนาม “วิสาหกิจชุมชนดินสอพองสตุบ้านหินสองก้อน ตรา หนุมาน”

ถึงตอนนี้ ดิฉันเอง รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น นึกถึงใบหน้าของท่านอาจารย์ดวง ทองคำซุ่ย ผู้ซึ่งเสียสละ ทุ่มเท กับงานนี้มานานกว่า 7 ปี ถึงแม้ว่าวันนี้ ชีวิตข้าราชการของอาจารย์จะปิดฉากลงเพราะปัญหาทางด้านสุขภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดฉากของ “วิสาหกิจชุมชนดินสอพองสตุบ้านหินสองก้อน ตรา หนุมาน” และนำไปสู่การมีสุขภาวะที่ดีของชุมชนคนดินสอพอง ดังที่อาจารย์หวังไว้ ต้องคอยติดตามจังหวะก้าวที่จะเกิดขึ้นต่อไป
บางคนมองเห็นโอกาสและคว้ามันไว้...แต่อีกหลายคนกลับกลัวที่จะคว้าโอกาสนั้น   และนั่น เป็นสิ่งที่น่าเสียดายยิ่ง


โดย กลมกลิ้ง

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การเดินทางของห้วยกระเจา สู่ตำบลสุขภาวะ


การเดินทางของห้วยกระเจา สู่ตำบลสุขภาวะ
จุฑารัตน์ กองแก้ว


โดยส่วนตัวของผู้เล่า... ชอบการท่องเที่ยวมากๆถึงมากที่สุด และจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมาท่องเที่ยวเช่นกัน เนื่องจากกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมงและยังมีความหลากหลายทางกายภาพ ภูมิศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือน และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนได้ไปทำงานในจังหวัดกาญจนบุรี  จึงอยากถ่ายทอดเรื่องราวของตำบลห้วยกระเจา อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ให้กับผู้อ่านได้ทราบ...
เดินทางออกจากโรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จ.กาญจนบุรี เพื่อมุ่งหน้าไปที่ อบต.ห้วยกระเจาเพื่อไปพบกับปลัด อบต. เจ้าหน้าที่ อบต. ที่เป็นผู้ดูแลโครงการตำบลสุขภาวะ และชาวบ้านอีก 1 ท่าน ซึ่งขณะนั้นผู้เขียนยังไม่ทราบว่าเป็นใคร? พอไปถึง อบต. ก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ท่าทางเป็นมิตร ดูเป็นคนอารมณ์ดี ออกมาต้อนรับเรา และเธอได้แนะนำตัวเองว่าชื่อ พร ทำงานตำแหน่งธุรการ ซึ่งเป็นผู้ที่ดูแลโครงการตำบลสุขภาวะของตำบลห้วยกระเจา และคุณพรก็ได้เล่ารายละเอียดโครงการให้เราฟัง... ตำบลห้วยกระเจาเป็นลูกข่ายของตำบลบางระกำ จังหวัดนครปฐม ดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2554 ได้มีการปรับปรุงเรื่องขยะในชุมชน การสนับสนุนการเลี้ยงหมูหลุม ไก่พื้นเมือง ฯลฯ ...ขณะที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น...ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา รูปร่างสันทัด ผิวเข้ม เป็นคนมุ่งมั่น และเอาจริงเอาจังกับการทำงาน คุณพรแนะนำว่า ชื่อคุณประจวบ ทวีสิน เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 เราก็กล่าวสวัสดีพร้อมกับยกมือไหว้ คุณประจวบก็ได้เล่าให้เราฟังว่า... ที่รู้จักโครงการตำบลสุขภาวะจากคุณป้าทิวาพร(ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติท่ามะขาม จังหวัดกาญจนบุรี) ก็เลยสนใจอยากจะทำโครงการนี้ คุณประจวบจึงได้นำโครงการนี้มาเสนอกับ อบต. ซึ่ง อบต.ก็ได้สนับสนุนเนื่องจากเล็งเห็นว่าชุมชนมีศักยภาพที่จะทำโครงการได้ คุณประจวบยังเล่าให้ฟังอีกว่า ที่หมู่ 1 มีเครือข่ายปลูกผักปลอดสารพิษ จำหน่ายในชุมชน ส่วนหมู่ 7 เลี้ยงหมูหลุม กลุ่มไก่พื้นเมือง(ปัจจุบันคนหันมาเลี้ยงหมูหลุมกันเยอะขึ้น เนื่องจากหมูหลุมจะไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นมูลหมู) ที่ห้วยกระเจายังเป็นศูนย์การเรียนรู้ศึกษาดูงานการเลี้ยงหมูหลุม นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องการเลี้ยงหมูหลุมแล้ว สมาชิกให้ห้วยกระเจายังได้ไปดูงานศึกษาดูงานการเลี้ยงจิ้งหรีดที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งคุณประจวบบอกว่า...ขณะนี้สมาชิกในหมู่บ้านกำลังจะเริ่มเลี้ยงจิ้งหรีดไว้ขายเพื่อเพิ่มรายได้กันแล้ว
...นอกจากนี้ ยังมีการทำปศุสัตว์โดยเฉพาะ การเลี้ยงโคพื้นเมือง  มีจำนวนมากถึง  27,959 ตัว  ซึ่งถือว่าเป็นตำบลที่มีจำนวนโคมากที่สุดในประเทศไทย
ผู้เขียนได้ยินประโยคหนึ่งที่คุณประจวบได้พูดขึ้น “ตู้เย็นข้างครัว ตู้ยาข้างบ้าน” ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าเราสามารถทำให้รอบๆบ้านของเราเป็นทั้งตู้เย็นและตู้ยาได้ เป็นตู้เย็น...จากการปลูกผักไว้กินเองแถมได้สุขภาพที่ดีตามมาด้วย(เพราะไม่มีสารพิษ) เป็นตู้ยา...ได้จากการปลูกสมุนไพรพื้นบ้านไว้ใช้เอง
 จากการได้พูดคุยให้ครั้งนี้ผู้เขียนรู้สึกและรับรู้ถึงพลังงานและความตั้งใจทำงานของผู้ใหญ่ประจวบคนนี้เป็นอย่างมาก... ในนามของผู้เขียนเองอยากให้กำลังใจผู้ใหญ่ประจวบและสมาชิกชาวห้วยกระเจาทุกท่าน ผู้เขียนหวังว่าจะได้มีโอกาสไปเยือนหมู่บ้านหมูหลุม(ห้วยกระเจา)แห่งนี้อีกครั้งในคราวต่อไป...

อบต. สมเด็จเจริญ มุ่งสู่ตำบลสุขภาวะ: โอกาสและความท้าทาย


อบต. สมเด็จเจริญ มุ่งสู่ตำบลสุขภาวะ: โอกาสและความท้าทาย
กัลยา นาคลังกา

จากเส้นทางตัวเมืองกาญจนบุรี มุ่งหน้าไปทาง อ.หนองปรือ ระยะทางเกือบ 100 กิโลเมตร เราก็มาถึงอบต.สมเด็จเจริญ... ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้ที่มาเยือนครั้งแรกที่สามารถมาได้แบบไม่หลงทาง เพราะต้องลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ดูเหมือนจะฝ่าเข้าไปยังภูเขา แต่บรรยากาศสองข้างทางนั้นต้องยกนิ้วให้กับความสดชื่น อุดมสมบูรณ์
อบต. สมเด็จเจริญ อยู่ในอำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี โดยในปี 2554 ได้เข้าร่วมโครงการตำบลสุขภาวะ ในฐานะที่เป็นอบต.ในเครือข่ายของอบต.หนองโรง อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นผลให้ชาวตำบลสมเด็จเจริญได้รับโอกาสสำคัญในการทบทวนตัวเอง ถึงจุดเด่น และจุดที่ต้องเสริม เพื่อมุ่งสู่กระบวนการวางแผนให้เป็นตำบลสุขภาวะต้นแบบ
จากการได้เข้าเยี่ยมเยือนและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของอบต. ทำให้พบว่า ที่นี่มีศักยภาพในการยกระดับชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้อยู่หลายด้าน  ด้วยมีฐานสำคัญที่เสริมความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนสมเด็จเจริญ นั่นคือ เป็นเขตพื้นที่ของโครงการห้วยองคตอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เนื่องจากบริเวณนี้เป็นเขตป่าสงวนที่ถูกบุกรุกทำลายจนมีสภาพเสื่อมโทรม ดังนั้นในปี 2535 จึงได้มีการดำเนินการจัดสรรพื้นที่ให้แก่ราษฎรผู้ยากจนเข้าไปประกอบอาชีพ ซึ่งได้จัดเป็นแปลงที่ดินให้ก่อสร้างที่อยู่อาศัยครอบครัวละ ๑ ไร่ ที่ดินทำการเกษตร ครอบครัวละ ๘ ไร่ ทำให้ปัจจุบันสภาพป่ามีความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงประชาชนมีการประกอบอาชีพเกษตรที่ไม่เบียดเบียนป่าไม้ ที่สำคัญโครงการห้วยองคตฯ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับการศึกษาดูงานด้านการบริหารทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมให้แก่หน่วยงานและผู้สนใจทั่วประเทศอีกด้วย  
                และด้วยที่มีแหล่งเรียนรู้หลักอยู่แล้ว จึงทำให้เกิดการต่อยอดพัฒนาด้านอื่นๆ ในชุมชนตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการป่าชุมชน ที่เน้นในเรื่องการป้องกันป่าจากผู้บุกรุก โดยได้มีการจัดให้ชาวบ้านเข้าเวรยามคอยสังเกตการณ์อยู่เสมอ แต่เจ้าที่หน้าได้สะท้อนถึงข้อจำกัดว่า อาจจะยังดูแลได้ไม่เต็มที่ เนื่องด้วยจัดไม่มีระบบการจัดการที่เพียงพอ เพราะปัจจุบันมีเพียงหอคอยให้เฝ้าสังเกตการณ์ แต่มาตรการปราบปรามยังไม่ชัดเจนนัก
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอาชีพที่น่าสนใจภายในชุมชน อีกหลากหลายกลุ่ม ที่เป็นแหล่งสำหรับการเรียนรู้และเป็นแหล่งการจ้างงานให้แก่คนในพื้นที่ ได้แก่ กลุ่มสตรีถักโครเช  กลุ่มทำเครื่องดนตรีไทย ซึ่งนอกจากจะทำเครื่องดนตรีขายแล้ว ยังเปิดสอนให้เยาวชนมาเรียนดนตรีฟรีจนสามารถตั้งเป็นกลุ่มดนตรีไทย  กลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ และกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ สำหรับกลุ่มอาชีพต่างๆ ที่กล่าวมานี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักสำหรับการขับเคลื่อนงานตำบลสุขภาวะ โดยการยกระดับให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนต่อไป

สำหรับการต่อยอดสำคัญอีกด้านที่เราได้มาเห็นในวันนี้คือ การเป็นต้นแบบเรื่อง พลังงานหมุนเวียน เมื่ออบต.ให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการปรับพื้นที่บริเวณของอบต.ให้กลายเป็นศูนย์เผยแพร่และถ่ายทอดเรื่องพลังงานและการเกษตร โดยสังเกตได้ชัดเจนว่ามีการจัดทำเป็นฐานการเรียนรู้ต่างๆ อาทิ ฐานคนเอาถ่าน ที่เป็นการสาธิตการเผาถ่านโดยใช้เตาประสิทธิภาพสูง ฐานผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้ว ฐานก๊าซชีวภาพ ฐานเลี้ยงปลาและหมูหลุม และฐานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าครบถ้วน เพียงพอต่อการนำไปทำตามได้ แถมวิทยากรของศูนย์ยังบอกอีกว่านอกจากจะมีการสาธิตและเผยแพร่ความรู้แล้ว ยังก่อให้เกิดรายได้และสร้างอาชีพให้แก่คนในชุมชนอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อจำหน่าย จนมีการเล่าว่าผลิตขายแทบไม่ทัน
แต่สิ่งที่เราเห็นวันนี้เกือบทั้งหมด ได้หยุดทำเสียแล้ว!! ... จึงเกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะสิ่งที่เราเห็นนั้นเหลือเพียงอาคารเผาถ่าน ที่มีเตาเก่าตั้งอยู่ มองเห็นอาคารผลิตไบโอดีเซลที่ถูกปิดรกร้างไว้ มองเห็นโรงปุ๋ยกับเครื่องผสมปุ๋ยขนาดยักษ์ที่เหลือกำลังการผลิตเพียงอาทิตย์ละไม่กี่กระสอบ มองเห็นโรงสีข้าวชุมชนที่พร้อมให้บริการแต่ยังไม่มีประชาชนมาใช้ แต่ความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของเจ้าหน้าที่อบต.ผู้ที่เป็นวิทยากรตัวยงก็ยังอยู่ ด้วยใจที่มุ่งมั่น และรอคอยโอกาสที่จะพลิกฟื้นศูนย์อีกครั้ง
เกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มาก เหตุใดจึงกลายจากสภาพเดิมที่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ผู้คนหลั่งไหลมาขอศึกษา... บางทีคำตอบอาจอยู่ในใจหลายคนแล้ว แต่โจทย์ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เราจะมีการจัดการให้ศูนย์เรียนรู้เหล่านี้สามารถดำเนินงานได้อย่างยั่งยืนและต่อเนื่องได้เองอย่างไร
คำถามนี้ชวนให้นึกถึงรูปแบบการประกอบกิจการอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เป็นการทำกิจกรรมโดยมีเป้าหมายเพื่อสังคม แต่ในขณะเดียวกันตัวองค์กรเองก็ต้องอยู่รอด และดำเนินการได้เองอย่างต่อเนื่อง หรือที่เราอาจเคยได้ยิน นั่นคือแนวคิดของ กิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ที่สามารถมีผลกำไรมาลงทุนเพื่อสังคมได้ต่อเนื่อง แต่นี่ก็เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งเท่านั้น ในความเป็นจริงระบบการบริหารศูนย์เรียนรู้ยังมีบริบทที่ต้องคำนึงถึงอีกหลายส่วน ผู้ดำเนินการเองก็ควรที่จะต้องใส่ใจและหมั่นประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ
เชื่อว่าสำหรับอบต.สมเด็จเจริญเอง หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการตำบลสุขภาวะแล้ว คงได้ฐานข้อมูลระดับตำบลที่เป็นประโยชน์มาก อันจะนำมาวางแผนการพัฒนาตำบลได้อย่างรอบด้านมากขึ้น รวมถึงได้มองเห็นจุดเด่น และจุดที่ต้องคำนึงถึงโดยเฉพาะเรื่องความยั่งยืนของศูนย์เรียนรู้ฯ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดสุขภาวะในชุมชนต่อไป

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

"เยือนถิ่นหนองโรง" ต้นแบบตำบลสุขภาวะ

โอกาสของการเรียนรู้มาเยือนอีกครั้ง เมื่อมีโอกาสลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ร่วมกับ "คณะอนุกรรมการสนับสนุนการขับเคลื่อนบูรณาการโดยมีพื้นที่เป็นตัวตั้ง" ของ สสส. งานนี้ ได้เดินทางไปเยือน อบต.หนองโรง เครือข่ายตำบลน่าอยู่ ของสสส. ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี 


พอถึงจุดหมายปลายทาง ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าบ้าน รส สี ของน้ำฝาง ยังจำไม่เคยลืม การทักทายที่เป็นกันเอง คลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้ไม่น้อย


เปิดวงคุยอย่างกันเองด้วยการแนะนำตัวของทุกคน เจ้าภาพซึ่งนำโดยท่านนายกสุวรรณวิชช์ แปรมปรียดิ์  ได้บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา "กว่าจะถึงวันนี้ของหนองโรง" ให้ฟัง 


ราวปี 2515-2517 พื้นที่ 1,800 ไร่ เริ่มมีโรงงานน้ำตาล และมันสัมปะหลังขึ้น  มีความต้องการพื้นที่เพื่อปลูกอ้อย และมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น มีการดันป่าเพื่อปลูกพืชดังกล่าว


ปี 2517 เกิดการต่อสู้อย่างรุนแรงในพื้นที่ มีแกนนำถูกยิงตายเป็นว่าเล่น (ณ สถานที่ ที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีคนเคยตายอยู่ที่นี่ หนึ่งในนั้นคือ พ่อของท่านนายกนั่นเอง ท่านนกยกเล่าด้วยน้ำเสียงสั่น และน้ำตาก็ไหลออกมา ระหว่างการพูดคุยกัน) และได้พื้นที่ทั้ง 1,800 ไร่คืนมา


ปี 2520 ได้พื้นที่เปล่าเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 มีการฟื้นฟู โดยธรรมชาติ ปล่อยให้ป่าขึ้นเอง ระหว่างนั้น ก็เริ่มมีกระบวนการจัดการโดยชุมชน จากกลุ่มคนเล็กๆ เพื่อรักษาป่าผืนนี้ไว้ "ป่าชุมชนบ้านห้วยสพานสามัคคี" โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ติดกับป่าสงวนอีก 16,000 ไร่


จนกระทั่งปี 2540 อาจกล่าวได้ว่า "ไม่มีคนเข้ามาตัดไม้ในพื้นที่อีกแล้ว"  
ถือว่าเป็นการ “ปลูกต้นไม้ในใจคน”อนุญาตให้ตัดไม้ไปใช้ประโยชน์ได้แต่ไม่มีคนกล้าตัดไปใช้


เริ่มจากการทำงานป่าชุมชน ก่อเกิดความสามัคคี ก่อเกิดกิจกรรมเพื่อเชื่อมร้อยเด็กและเยาวชนคนรุ่นต่อไป ป่าเป็นมากกว่าที่เห็น เป็นได้ทั้งห้องเรียน ซุปเปอร์มาร์เก็ต เป็นมหาวิทยาลัย....คุณลุงประยงค์ แก้วประดิษฐ์ ปราชญ์ชุมชน กล่าว


ต่อมาในปี 2544 เริ่มมีหน่วยงานสนับสนุนเข้ามาในพื้นที่ ได้แก่ พอช. สสส. เป็นต้น ทำให้ได้เริ่มเรียนรู้เรื่องการจัดการชุมชน โดยเริ่มจากการรู้จักตนเองก่อน และเริ่มขยายเครือข่ายการทำงานออกไป


ปัจจุบัน ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรม อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก อยู่ นอกเขตชลประทาน 


“ทำนาแบบพึ่งพาเทวดา” ชาวบ้านทำนาปีละ 3-4 ครั้ง ทั้งๆที่อยู่นอกเขตพื้นที่ชลประทาบางปีไม่ได้เก็บเกี่ยวเลย (แต่ก็ต้องทำ)


นอกจากนี้ ยังมีการทำปศุสัตว์ในพื้นที่ นั่นคือการเลี้ยงวัวไล่ทุ่ง ซึ่งเป็นวัวพันธุ์พื้นเมืองที่แข็งแกร่ง ตัวเล็ก 


 “วัวลาน...เวรยามชั้นดี”วัวลาน เลี้ยงแบบไล่ทุ่ง เจอไฟไหม้ที่ไหนวิ่งหนีทันที คนเลี้ยงวัว กลายเป็นเจ้าหน้าที่ รปภ.ของป่าชุมชน  


หนองโรงวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ประชาชนได้มีส่วนร่วมทุกๆกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เกิดหมู่บ้านสายใยรัก เกิดแหล่งเรียนรู้แบบเชื่อมโยง 33 แหล่งเรียนรู้ใน 7 ระบบ ได้แก่


ระบบบริหารจัดการ
ระบบสวัสดิการชุมชน
ระบบเศรษฐกิจชุมชน
ระบบอาสาสมัคร
ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมประเพณี
การจัดการป่า และ สิ่งแวดล้อม



ความท้าทายของพื้นที่
1. การรับไม้ต่อจากรุ่นสู่รุ่น มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้โดยใช้กิจกรรมเป็นตัวนำ มีการปลูกฝังเรื่องป่า ประเพณีวัฒนธรรม ให้กับเด็กๆ มีโครงการเด็กรักษ์ป่า กินนอนในป่าทุกปี เป็นการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ โอยผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีอายุตั้งแต่ 4 ปี ถึง 80 ปี


2. คนช่วงอายุ 30-40 ปี (วัยทำงาน) ปัจจุบัน ร้อยละ 80 ไม่มีการละทิ้งถิ่นฐาน ส่วนใหญ่ทำงานในพื้นที่ แทรกซึมอยู่ในทุกกิจกรรมของชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มแปรรูปผลผลิตในชุมชน จนถึงการเป็นพี่เลี้ยงในกิจกรรมต่างๆ หากจะมีไปทำงานข้างนอกบ้างก็จะไม่ไกล สามารถไป-กลับได้


มีโจทย์ของชุมชนอีกหลายเรื่องที่ต้องการการร่วมแรงร่วมใจกันหาทางออก แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคของคนในหนองโรงแม้แต่น้อย เพราะอุปสรรคที่ใหญ่หลวงที่สุด คนในชุมชนนี้ได้ก้าวผ่านมาแล้ว การเป็นชุมชนต้นแบบของหนองโรง จะเป็นแนวทางการจัดการชุมชนที่ยั่งยืนต่อไป 





ด้วยความชื่นชมเป็นที่สุด
กลมกลิ้ง


วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเล่า “ชาวตะเคียนเตี้ย”

โทรศัพท์ดังขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง เสียงที่คุ้นชินถามไถ่ถึงการทำงานในวันพรุ่งนี้ “ตกลงว่าพรุ่งนี้ว่าไง..............” บทสนทนาจบลงด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคย โอเค้ พร้อมลุย ไปกันเลย

เวลา 05.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 54 อ้าวพวกเรา “เก็บของ ล้อหมุนหกโมงเช้าจ้า” คุณพ่อคุณลูก ตื่นด่วน แม่ต้องไปทำงานแล้วววววว เป้าหมายของเรา “เช้านี้ที่กบินทร์บุรี... ต้องไปถึงพัทยากลาง ชลบุรี...ก่อนเก้าโมง” พลขับพร้อม ผู้โดยสายพร้อม(รึเปล่า) แต่ก็ไปโลดคะ

แวะเพิ่มพลังด้วยอาหารเช้า ณ จุดพักรถบางปะกง บรรยากาศตอนเช้านี่เยี่ยมไปเลย “คนไม่มาก รถไม่เยอะ อากาศเย็นสบาย สดชื่นจริง” เราถึงที่หมายกันตรงเวลาเลยคะ เรารีบเดินจ้ำอ้าวเข้าห้องประชุมโดยทิ้งลูกให้พ่อดูแล... ดีจริงไรจริง

การพูดคุยกันในวันนี้น่าสนใจมาก ทุกคนมากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นการพูดคุยกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 30 คน ในเรื่องของ “การศึกษาความเป็นไปได้ของการสร้างช่องทางการตลาด เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าหรือบริการของคนพิการโดยเฉพาะ” มีผู้พิการเข้าร่วมด้วย และร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างฉะฉาน บ่งบอกถึงการทำงานเพื่อสังคมผู้พิการที่ช่ำชอง ในที่ประชุมมีหลากหลายความคิดเห็น แต่ที่เห็นผลเลยโดยไม่ต้องรอ คือการได้พบปะกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ได้รู้ว่าใคร ทำอะไร อย่างไร เป็นต้น พอจบการประชุมเราก็ตรงดิ่งไปแนะนำตัวและทำความรู้จัก พ่วงด้วยขอเบอร์โทรติดต่อในทันที

หมุดหมายใหม่ในช่วงบ่าย ล้อหมุนมุ่งหน้าสู่ “ศูนย์การเรียนรู้คนพิการในชุมชนตะเคียนเตี้ย” เราเลี้ยวซ้ายออกจากพัทยากลาง มุ่งหน้าสู่ โรงโป๊ะ ระยะทางน้อยกว่าร้อยกิโลเมตร กับการคุยโทรศัพท์นับสิบครั้งเพื่อถามทาง ก็ทางมันวกไปวนมา แต่ด้วยความเชี่ยวชาญของคุณเสมียน ก็ทำให้เรามาถึงโดยไม่หลงเลย(แอบกังวลอยู่ในใจว่าจะกลับออกมาถูกไหมนะ) เมื่อลงจากรถ ก็สะดุดเข้ากับชายพิการ นั่งอยู่บนรถเข็น แต่กลับส่งยิ้มมาให้ทั้งที่เราเป็นคนแปลกหน้า “คุณเจี๊ยบหรือเปล่าครับ” โอ้ เจอแล้ว “คุณเสมียนใช่ไหมคะ...ขอบคุณมากคะ” แล้วเราก็พูดคุยกันอย่างถูกคอ ก่อนจะฉุกคิดขึ้นได้ว่า เรามาทำงานนะคะ......

พี่เล็ก ผู้เป็นทั้ง อสม. แกนนำชุมชน ที่ปรึกษาศูนย์ ฯลฯ เข้ามาทักทายและยิ้มให้ พร้อมทั้งกุลีกุจอ หาพัดลม ที่หลับที่นอนให้น้องใยไหม(หลับอุตุอยู่ในรถ) และแล้ว ใยไหมก็ตื่นนอนและเริ่มสำรวจสถานที่ใหม่ทันที ส่วนเราก็ขอพูดคุยกับคุณอำพร เจียดกำจร หรือ พี่เล็กก่อน(คนอื่นยังทำงานกันอยู่อย่างมุ่งมั่น) พี่เล็กเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ว่า

ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๒ โดยกลุ่มคนพิการ ครอบครัวและอาสาสมัคร ผู้นำชุมชนและกลุ่มมวลชนต่างๆ ผู้มีจิตอาสาและเต็มใจมาช่วยในงานด้านคนพิการ รวมถึงเทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย ร่วมกับ นายสุเมธ พลคะชา และนายเสมียน สุโรรัมย์ มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ


โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ...
๑. พัฒนาส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการและครอบครัวในตำบลตะเคียนเตี้ยสู่ความยั่งยืน และ
๒. ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
ที่ศูนย์แห่งนี้ มีวิสัยทัศน์ที่ “เน้นการพัฒนาคนพิการในด้านต่างๆ ได้แก่ การแพทย์ การศึกษา อาชีพ และสังคม เพื่อให้คนพิการสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ ดำรงชีวิตได้ย่างมีสุข โดยการเสริมสร้างความรู้ และทักษะผ่านการจัดการความรู้”
โดยมีสโลแกนที่ว่า “สามัคคี จิตอาสา นำพาคนพิการ มีสุข”
พี่เล็กบอกเล่าด้วยความสนุกสนานถึงการล้มลุกคลุกคลานกว่าที่จะจัดตั้งศูนย์แห่งนี้ขึ้นมาได้ เราสัมผัสได้ถึงความรู้สึก “ภูมิใจ” ในสิ่งที่พี่เล็กได้ทำมา จนถึงทุกวันนี้


“ที่นี่ ทำอะไรบ้างคะ เพราะมองดูรอบๆ เห็นผลิตภัณฑ์หลากหลายเลยคะ”
สาเหตุที่ดูว่ามีผลิตภัณฑ์หลากหลาย เนื่องจาก ๑. เน้นการที่ผู้พิการแต่ละคนสามารถทำอาชีพที่สนใจและมีความถนัดก่อน และ ๒. เน้นวัตถุดิบที่หาได้ในชุมชน เพื่อสร้างเอกลักษณ์ที่แสดงออกในความเป็นตะเคียนเตี้ย รวมถึงวัสดุเหลือใช้ที่มี เช่น สายรัดของ ตะปูที่แกะออกจากไม้พาเลท เป็นต้น ดังนั้น จึงมีอาชีพในช่วงแรกเริ่มของศูนย์ ดังนี้
๑. อาชีพทำไม้กวาดทางมะพร้าว ซึ่งมี ๒ ขนาดให้เลือก คือ
อันใหญ่ อย่างหนา ราคาขาย ๓๕ บาท
อันเล็ก กะทัดรัด มีกระป๋องหุ้ม ราคาขาย ๒๕ บาท

ลักษณะพิเศษไม้กวาดทางมะพร้าวของที่นี่ คือ มีความประณีต หนาและทนทานไม่หลุดง่าย ทางศูนย์ฯ รับซื้อทางมะพร้าวจากผู้พิการทางสติปัญญาในตำบลตะเคียนเตี้ยซึ่งช่วยกันเหลา ในกระบวนการต่างๆ ทั้งการเข้าด้าม การตัดและการเย็บเอ็น มีการกระจายงาน และรายได้แก่คนพิการตามศักยภาพและความเหมาะสม
ทั้งนี้ไม้กวาดแต่ละด้าม แต่ละขั้นตอน คนพิการได้เข้ามามีส่วนร่วมตลอดกระบวนการผลิต ทั้งคนพิการที่บกพร่องทางด้านสติปัญญาซึ่งเป็นผู้เหลาทางมะพร้าว ผู้ปกครองคนพิการทางสมอง คนพิการตัดไม้ไผ่และเตรียมไม้ไผ่ คนพิการทางกายเข้าด้ามและเย็บเอ็น รวมกลุ่มทำไม้กวาด กว่า ๑๐ คน สามารถผลิตไม้กวาดได้ถึง ๒๕ ด้ามต่อวัน ทำให้มีไม้กวาดมากกว่า 500 ด้ามต่อเดือน
ปัจจุบันทางศูนย์พยายามหาตลาดเพิ่มเติม เช่น ร้านค้า สถานที่ราชการ บริษัทห้างร้าน หรือโรงงานต่างๆ เป็นต้น

๒. อาชีพพวงกุญแจร้อยลูกปัดและงานดัดลวด
มีมากมายหลายแบบให้เลือกชม อาทิ โดเรมอน ไก่ กระต่าย หมาพุดเดิล ปลาหมึก ผึ้ง เสือ และรูปสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนงานดัดลวดก็มี จักรสาน ก้างปลา รูปหัวใจ หุ่นยนต์ มอเตอร์ไซต์ เวสป้า ราคาตั้งแต่ ๑๕ - ๕๐ บาท สำหรับเป็นของฝาก ของชำ งานแต่ง งานเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ งานครบรอบต่างๆ เป็นต้น
๓. อาชีพแกะสลัก รับแกะสลักทุกชนิด เช่น แกะป้าย โต๊ะ เก้าอี้ หรือเฟอร์นิเจอร์ทุกชนิดที่เป็น
ไม้เนื้อแข็ง ทั้งนี้หากใครมีขอนไม้ รากไม้ ปีกไม้เนื้อแข็งที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และต้องการจะสนับสนุนคนพิการในตำบลตะเคียนเตี้ย ทางศูนย์ก็ยินดี

ที่น่าสนใจเพิ่มเติมคืออาชีพเสริมของ คุณเสมียน สุโรรัมย์ จากมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ซึ่งเป็นแกนนำหลักของศูนย์แห่งนี้ ยังมีความสามารถในการรับคอมพิวเตอร์พื้นฐาน ซ่อมคอมพิวเตอร์ ลง Windows โปรแกรมต่าง ๆ และรับสอนคอมพิวเตอร์พื้นฐาน Word PowerPoint Excel อีกด้วย

เมื่อต้นปี 54 ทาง บ.มิตซุบะ ได้บริจากไม้พาเลท มาให้ทางศูนย์ (จัดส่งมาให้เดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20-30 อัน) จึงมีโจทย์ใหม่เกิดขึ้นว่า “แล้วจะเอาไปทำอะไร” ซึ่งทางทีมก็เริ่มต้นทำกระถางต้นไม้ ที่ใส่ของที่ระลึก ของชิ้นเล็กๆ เป็นต้น แต่ยังไม่เป็นที่ต้องการของตลาด ระหว่างการออกร้านขายของตามงานต่างๆ รวมถึงผู้ที่สนใจแบะเวียนเข้ามาเยี่ยมที่ศูนย์ ก็มีความเห็นว่า “ทำไมไม่ทำเฟอร์นิเจอร์ หรือ ของใช้ที่จำเป็นล่ะ” ทำให้ทีมเกิดแนวคิดใหม่ขึ้นมา

โอกาสดีที่ศูนย์ได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ภัทรีพันธ์ พงศ์วัชร์ หรือ อ.ตุ้ม จากสถาบันพัฒนาธุรกิจชุมชน (SMEDI) ได้เข้ามาจัดฝึกอบรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม้พาเลท ต่อมาเมื่อวันที่ ๖-๗ กรกฎาคม 54 ที่ผ่านมา โดยมีวิทยากรมาฝึกอบรมพร้อมให้เครื่องมือเบื้องต้น เช่น เครื่องกลึง เครื่องแกะกะลามะพร้าว เลาเตอร์ และแท่นเจาะ เป็นต้น

ปัจจุบัน ทางศูนย์มี Order เข้ามาเรื่อยๆ จากเทศบาลตะเคียนเตี้ย โรงเรียนวัดเวรุ ชาวบ้านในชุมชน เป็นต้น ส่วนทางด้านราคา เนื่องจากผลิตภัณฑ์จะเปลี่ยนแปลงไปตามคำสั่ง เช่น ชุดทำงาน ชุดกินข้าว เก้าอี้ ชั้นวางของ ที่เสียบไม้กวาด ตู้ยาฯลฯ ปัจจุบันเป็นการตั้งราคาเป็นชิ้นไป ยังไม่มีการกำหนดราคาอย่างชัดเจน ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ ส่วนทีมที่ทำเฟอร์นิเจอร์ประกอบด้วยพี่โรจน์ พี่เล็ก พี่น้อย และพี่ปราณี และยังไม่มีการขยายเครือข่าย หรือ ฝึกให้คนอื่นๆต่อไป

นอกจากไม้ที่ได้นำมาทำเฟอร์นิเจอร์แล้ว ทางทีมพยายามใช้ประโยชน์จากวัสดุที่เหลือ ได้แก่ พลาสติกรัดของที่ติดมากับไม้พาเลท นำมาสานเป็นเสื่อ ตะกร้า ชะลอมได้ หรือไม่ว่าจะเป็นตะปู ก็นำไปใช้ทำไม้กวาดทางมะพร้าวต่อไป (ดีจริงๆ แทบจะไม่มีของเหลือใช้เลย)

ส่วนช่องทางการตลาด นอกจากขายตรงที่ศูนย์แล้ว ยังนำสินค้าไปจัดแสดงและจำหน่ายตามงานต่างๆ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่า ทาง บ.มิตซุบะ จัดสรรพื้นที่บางส่วนของตลาดนัดที่มีเดือนละ 2 ครั้ง ให้ทางศูนย์ฯ ไปจัดจำหน่ายสินค้าได้
ที่นี่แหละ “ตะเคียนเตี้ย” ฟังแล้วรู้สึกชื่นชมกับการทำงานของพี่พี่ที่นี่มาก หลังจากคุยกันได้พักใหญ่ พี่เล็กชวนไปดูสินค้าต่างๆ ได้คุยกับคุณเสมียน อีกครั้ง

“ได้ข่าวว่าที่โรงเรียนจ้างให้เป็นครูสอนคอมพิวเตอร์ด้วยเหรอคะ...ดีจังคะ” เราถาม
คุณเสมียนตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเช่นเคยว่า “ครับ ผมมีสอนทุกวัน ช่วงเช้าบ้าง บ่ายบ้าง แล้วที่โรงเรียนวัดเวรุ ก็จ้างให้ทำงานธุรการบางส่วนครับ ได้เงินเดือนประมาณ 7,500 บาทต่อเดือน ก็เพียงพอครับ เพราะไม่ต้องเสียค่าที่พัก พักที่ศูนย์เลย” และวันนี้ คุณเสมียน ต้องไปส่งไม้กวาดให้เรือนจำพัทยา จำนวน 50 ด้าม ด้วยรถคันที่เห็นในภาพ เยี่ยมไปเลย มีความพยายามสูงส่งจริงๆ
ถาม “ตอนนี้มีคนสั่งไม้กวาดเยอะไหมคะ ขยายตลาดไปถึงไหนแล้วบ้าง”
ตอบ “ตอนนี้ก็พยายามขายอยู่เรื่อยๆครับ ปัจจุบันส่งเทศบาลตะเคียนเตี้ย 100 ด้าม/เดือน เทศบาลบางละมุง 100 ด้าม/เดือน และ บริษัท อิโต้ 100 ด้าม/เดือน เช่นกัน ส่วนเรือนจำพัทยา ก็เป็นลูกค้ารายล่าสุด ส่วนร้านค้าวัสดุก่อสร้างและชาวบ้าน ก็ยังขายให้เรื่อยๆครับ”

ถาม “ดูกิจกรรมภายในศูนย์มีมากมาย แล้วเราเอาเงินลงทุนในการทำงานมาจากไหนคะ”
ตอบ “หลักๆเลยได้มากจาก เงินบริจาคครับ รองลงมาก็เป็นเงินที่ได้จากการขายสินค้า แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการระดมทุนจากแหล่งอื่นๆ เช่น การเขียนโครงการกับทางเทศบาลตะเคียนเตี้ย และ จัดผ้าป่าสามัคคีเพื่อพัฒนาคนพิการครับ” ผมขอตัวไปส่งไม้กวาดก่อนนะครับ แล้วคุณเสมียนก็ดันตัวเองจากรถเข็น จับแฮนด์รถ แล้วสตาร์ทรถอย่างคล่องแคล่ว พร้อมขยับขึ้นคล่อมรถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง คันเก่งที่บรรทุกไม้กวาดอยู่เต็มคัน มุ่งสู่ “เรือนจำพัทยาต่อไป” (ไกลเหมือนกันนะนี่)

เป้าหมายต่อไปของเราคือ พี่โรจน์นายช่างใหญ่ประจำศูนย์ ภาพที่เห็นทำให้เราถึงกับอึ้งกิมกี่ พี่โรจน์พิการขาทั้งสองข้างเนื่องจากอุบัติเหตุ แต่ใบหน้ายังยิ้มแย้มได้ตลอด สถานที่ทำงาน อยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ โล่ง โปร่ง สบาย มีอุปกรณ์วางอยู่รอบกายพร้อมหยิบฉวยได้โดยถนัดมือ เรารู้สึกได้ว่า “ความพิการไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานใดใดทั้งสิ้น เพียงแต่ทำให้คนผู้นั้นมีความสะดวกน้อยลงเพียงเท่านั้นเอง”

ยกมือไหว้พี่ๆทุกคน แล้วกล่าวคำอำลา แล้วเมื่อมีโอกาส จะผ่านเข้ามาอีกแน่นอน

กลมกลิ้ง

"สู้...คิด...ทำ อย่าง แจ๊ค ผู้เลี้ยงปลา"

ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2554


“ขับรถตรงมาเรื่อยๆ จะมีโลตัสอยู่ทางด้านขวามือ ตรงมาไม่ต้องขึ้นสะพานไปนครชัยศรีนะครับ จากนั้นจะเห็นป้ายสีเบเยอร์ แล้วกลับรถ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าซอย แล้วค่อยโทรหาผมอีกที...” เจ้าของเสียงทีปลายสาย คอยบอกทางอย่างชัดเจน เป็นช่วงๆ เพื่อป้องกันการหลงทาง....

เป็นไปดังคาด เราถึงที่หมายโดยไม่หลงทางจริงๆ บ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ หลังขนาดย่อม แฝงตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ มีกล้วยไม้วางห้อยอยู่อย่างไม่ตั้งใจ เรายืนงงกันสักพัก ก็มีเสียง “เชิญข้างในเลยครับ” ดังออกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน แต่เราก็ยังไม่เห็นเจ้าของเสียงนั้น เราลังเลอยู่ว่าจะเดินเข้าไปดีหรือไม่ เพราะเจ้าของบ้านยังไม่ออกมา...แต่แล้วเราก็ถือวิสาสะ เดินเข้าไป ไม่ถึงสิบก้าวจากจุดที่ยืนอยู่ สะดุดเข้ากับเตียงเหล็ก (เหมือนของผู้ป่วยในโรงพยาบาล) และต้นตอของเสียงมาจากที่นี่นะเอง

ยอมรับว่าตกใจนิดหน่อย เพราะไม่คิดว่าจะเป็นผู้พิการทางการเคลื่อนไหวที่ยังนอนอยู่บนเตียง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากเช่นนี้ เราเดินเข้าไปยกมือไหว้ พร้อมกล่าวคำสวัสดี และแนะนำตัว ที่มาที่ไปเช่นเคย ห้องที่เต็มไปด้วยตู้ปลา และปลานานาสายพันธุ์ ที่เราผู้ซึ่งอยู่นอกวงการปลาสวยงาม แทบไม่รู้จักเลย คุณแม่ ผู้เป็นทั้งแม่และผู้ดูแลพร้อมๆกัน ด้วยอายุที่เข้าสู่วัยเกษียร แต่ต้องดูแลผู้พิการที่อยู่ในบ้านถึงสองคน เป็นงานที่ต้องใช้ทั้งกำลังแรงกาย และแรงใจ อย่างมาก เห็นร่องรอยความเหนื่อยล้าที่ปรากฏอยู่บนในหน้าแล้วทำได้แค่เพียงแต่ให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรหรอก ทำจนไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยแล้วว่าเป็นอย่างไรแล้ว” แม่กล่าวทิ้งทายก่อนผละจากห้องนี้ไป

หลังจากถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนาม อายุอานามกันแล้ว ก็อยู่ในวัยเดียวกัน “แจ๊ค” เป็นชื่อคนต้นเรื่องของเราวันนี้ แจ๊ค อายุย่างเข้าวัยทำงาน แต่ทว่า ในชีวิตจริง แจ๊คได้เริ่มทำงาน หาเลี้ยงครอบครัว ที่ซึ่งขาดหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก ตั้งแต่อยู่ชั้น ม.6 (ปีพ.ศ.2541) การตัดสินใจไม่เรียนต่อหลังจากจบ ม.6 เพื่อมุ่งหวังที่จะดูแลจุนเจือครอบครัว และให้น้องชาย ได้มีโอกาสได้เรียน

อาชีพเลี้ยงปลาสวยงาม เริ่มต้นจากความชอบ พร้อมด้วยทุนอีกประมาณ 80,000 บาทที่รวบรวมได้ในครั้งนั้น ซื้อปลามาเลี้ยง รวมถึงอุปกรณ์ทั้งหมดที่ต้องใช้ และมีเจ้าของฟาร์มปลารายใหญ่ มาเช่าบ่อเพาะ “ไรแดง” เพื่อเป็นอาหารปลา การเรียนรู้วิธีการเลี้ยง เพาะพันธุ์ รวมถึงการตลาด อย่างจริงจัง ก็เริ่มต้นขึ้น ณ ตอนนั้นเอง ช่วงแรกเริ่มขายปลาในตลาดปลาสวยงามแถบบ้านโป่ง จ.ราชบุรีก่อน แล้วค่อยๆขยายตลาดไปยังจตุจักร และนำปลาเข้าประกวดทุกปีและได้รางวัลมาตลอด สะสมชื่อเสียงจากการประกวดปลา และด้วยอุปนิสัยที่ชอบช่วยเหลือแก่เพื่อนผู้ร่วมอาชีพ ช่วยเหลือลูกค้าเพื่อให้ได้ปลาที่ต้องการและถูกใจ จึงทำให้ “แจ๊ค” เป็นที่รักใคร่ของคนในวงการปลาสวยงาม

รายได้ที่หมุนเวียนเข้ามาต่อเดือนสูงถึง 35,000 – 40,000 บาทต่อเดือน เพียงพอต่อการดูแลครอบครัว และมีไว้ใช้จ่ายเพื่อความสุขส่วนตัวบ้าง ด้วยความที่ชอบความเร็ว ชอบการแต่งรถ ถึงขั้นแต่งรถโชว์ในงานมอเตอร์โชว์ต่างๆ ทำให้มีเพื่อนฝูงไม่น้อยในวงการนี้ และนี่ก็เป็นโอกาสในการขายปลาสวยงามด้วยเช่นกัน เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้มีฐานะ เลี้ยงเพื่อประดับบารมี เลี้ยงเพื่อโชคลาภ เป็นต้น

“ผมไม่ใช่คนขายปลา ผมเป็นคนเลี้ยงปลา แต่ปลามันขายตัวมันเอง แล้วมันก็เลี้ยงผม” นี่คือมุมมองในการประกอบอาชีพเลี้ยงปลาสวยงามของแจ๊ค “ปลาสวย ปลาไม่สวย กินอาหารเท่ากัน” หลังจากเพาะพันธุ์แล้วเลี้ยงเอง (พ.ศ.2541-พ.ศ.2543) พบว่ามีต้นทุนสูงมากในเรื่องค่าอาหาร และค่าจัดการในส่วนอื่นๆ พ่อค้าปลาสวยงามรายนี้ จึงเริ่มที่จะคัดเลือกปลาที่สวยที่สุดมาเลี้ยง และเพิ่มมูลค่าโดยการส่งปลาเข้าประกวดในเวทีต่างๆ “ปั้นปลา ล่าถ้วย สู่สังเวียน” จนสร้างชื่อได้ทำให้เป็นที่รู้จักของลูกค้าในวงการปลาสวยงามอยู่ไม่น้อย “ถ้าปลาสวย ก็มีราคา นี่ก็คือปลามันขายตัวมันเอง เราเป็นเพียงแค่คนดูแลเอาใจใส่” ละอีกอย่างหนึ่ง “ผมหาปลาที่ถูกที่สุดให้ไม่ได้ แต่ผมหาปลาที่ดีที่สุดให้ได้”

ประมาณปี พ.ศ. 2550 เริ่มที่จะขยับขยายไปยัง จ.สมุทรปราการ ขนอุปกรณ์ต่างๆได้ไม่ถึงครึ่ง ก็ประสบอุบัติเหตุรถชน ทำให้พิการ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อาชีพเลี้ยงปลาระยะที่หนึ่งนี้ก็ปิดฉากลง เพราะไม่มีใครดูแลปลาต่อได้เลย ไม่ได้ฝึกใครไว้เลย... นอนอยู่โรงพยาบาลเกือบปี ผ่านช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของชีวิตมาได้ จึงเริ่มที่จะเลี้ยงปลาสวยงามอีก ในปี 2551 จึงเริ่มต้นเลี้ยงปลาสวยงามระยะที่สอง ด้วยทุนประมาณ 30,000 บาท แต่ตอนนี้มีทุนอื่นๆ เช่น เพื่อนๆในวงการเลี้ยงปลาสวยงาม ลูกค้ารายเก่าที่เคยติดต่อกันอยู่ ชื่อเสียงที่สะสมมา นี้ก็เป็นทุนที่คิดเป็นตัวเงินไม่ได้ ด้วยทุนที่มี จึงเริ่มด้วยปลา 6 ตู้ “เลี้ยงปลาที่ตลาดต้องการก่อน แล้วค่อยมาเลี้ยงปลาที่เราชอบ เพราะถ้าเราไม่ชอบปลาที่เราเลี้ยง เราก็จะเลี้ยงแบบไม่มีความสุข” แต่การเลี้ยงปลาครั้งนี้ก็เป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ในชีวิต คิดค้นวิธีใหม่ๆที่จะสามารถทำงานได้ง่าย (ด้วยการสั่ง เพียงอย่างเดียว)

การหาผู้ช่วยที่รู้ใจหายากมาก แม่ผู้ซึ่งเป็นผู้ช่วยมือหนึ่ง ก็ทำได้แต่เพียงให้อาหารปลา แต่การเลี้ยงปลา ไม่ได้มีการจัดการเพียงเท่านี้ ยังมีเรื่องอื่นๆอีกมาก เช่น การทำความสะอาดตู้ปลา การย้ายปลา ซึ่งย่อมต่างกันในรายละเอียดของปลาแต่ละชนิด นี่ยังไม่รวมถึงการจัดการเรื่องการตลาด การหาปลาตัวใหม่เข้ามา ล้วนต้องใช้ทุนสูง ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมา แต่การแก้โจทย์นี้ก็เริ่มมีความหวัง เมื่อมีน้อง (จ่าอากาศตรีจิรวัฒน์ เอมเจริญ) ที่ไว้ใจได้ เป็นมือเป็นไม้แทนได้ทุกอย่าง หัวเร็ว เรียนรู้เร็ว ทำให้แจ๊คมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง และตั้งใจจะปั้นน้องคนนี้ให้สามารถยึดอาชีพเลี้ยงปลาสวยงามเลี้ยงตัวเค้าเองต่อไป แต่แจ๊คก็ใจชื้นได้ไม่นาน เมื่อน้องคนดังกล่าว ได้เสียชีวิตลงเมื่อไม่นานมานี้

โจทย์ใหญ่ในชีวิตก็กลับให้ต้องมาหาทางออกอีกครั้ง แต่แจ๊คก็หวังว่า อีกไม่นานก็คงจะหาทางออกได้เช่นเคย ณ ตอนนี้ เพื่อน คือผู้ให้กำลังใจ และผู้ให้ความช่วยเหลือหลัก การดูแลจัดการ ก็อาศัยจ้างเด็กแถวบ้านมาทำบ้างเป็นครั้งคราว

เมื่อปลายปี 2553 ได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกอบรม SME กับทาง สสพ. เมื่อเข้าร่วมโครงการแล้ว ได้นำองค์ความรู้ที่ได้มาปรับใช้กับอาชีพเลี้ยงปลาสวยงาม ๒ ประเด็นหลักคือ
๑. การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า โดยการสร้างเรื่องราวให้กับปลาที่เราเลี้ยง เช่น พ่อแม่มันเป็นแชมป์เมื่อไหร่ ลักษณะเด่น ด้อย เป็นอย่างไรบ้าง เลี้ยงแล้วจะดีอย่างไรกับผู้เลี้ยงบ้าง นิสัยส่วนตัวของปลาตัวนี้เป็นอย่างไร เป็นต้น
๒. การคิดต้นทุนของสินค้า แต่เดิม ไม่เคยคำนึงถึงต้นทุนแฝงเลย เช่น ซื้อปลามา ๕,๐๐๐ บาท พอได้ราคา ๕,๕๐๐๐ บาทก็ขายแล้ว แต่เมื่อมาคำนวณถึงต้นทุนแฝง เช่น ค่าอาหาร ค่าไฟ ค่าตู้ปลา ค่าแรงในการดูแลปลา ค่าเคลื่อนย้ายปลา เป็นต้น เรียกได้ว่า ขาดทุนเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็คิดใหม่ ทำให้สามารถขายปลาในราคาที่ไม่ขาดทุน แถมได้กำไรอีกด้วย

อนาคต อยากต่อยอดจากการค้าปลาสวยงาม สู่ตลาดสัตว์เลี้ยงอื่นๆ เช่น การเพาะนกพันธุ์หายาก เป็นต้น รวมถึงการเลี้ยงกล้วยไม้ขายเพราะเป็นสิ่งที่ชอบเช่นกัน ต่อจากนี้ก็ต้อง “สู้(ต่อไป) คิด(ให้มากขึ้น) แล้วทำ(ในสิ่งที่ชอบ)” จากจุดที่แย่ที่สุดในชีวิต และเริ่มที่จะก้าว ยอมรับว่า “ก้าวแรกเป็นก้าวที่ยากมาก และพอก้าวไปเรื่อยๆก็จะเริ่มเจอทางแยกที่มากขึ้น มากขึ้น การตัดสินใจว่าจะเลือกทางใด นั่นขึ้นอยู่กับว่า ใจเราชอบที่จะไปทางใด”


การพูดคุยกันท่ามกลางเสียงออกซิเจนจากตู้ปลา และปลาสวยงามที่ว่ายไปมา จบลงอย่างรวดเร็ว แววตาของแจ๊คระหว่างที่เล่าเรื่องราวเรื่องปลา ฉายแววของความหวัง ความมุ่งมั่น และความตั้งใจ รวมถึงความภาคภูมิใจ สัมผัสได้จากน้ำเสียงที่ดังฟังชัด ในใบหน้าที่อิ่มสุขเมื่อได้ถ่ายทอดประสบการณ์ที่ดีในชีวิต ทำให้เราประทับใจ และหวังว่าเราจะเจอกันอีกครั้งในไม่ช้านี้












กลมกลิ้ง จริงๆ

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วานนีี้..ที่ดินสอพอง

เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 28-29 พ.ค. 54 ที่ผ่านมา ไปตามหาผู้ร่วมอุดมการณ์ ดินสอพอง ที่ลพบุรีมาคะ ครึ่งปีที่ผ่านมา การเดินทางของดินสอพองมาได้ไกลเกินคาด แววตาที่เปลี่ยนไปของทีม ซึ่งมีอ.ดวง ทองคำซุ่ย เป็นแม่ทัพใหญ่ มีลูกเรืออีก 3 ท่านคือ พี่บาล เอก และน้องผึ้ง ทุกคนดูมีความหวัง มีความกระตือรือร้น และสายตาที่เปร่งประกาย ทำให้ดิฉันสัมผัสได้กับความรู้สึกนั้น


จากเวทีดังกล่าว ทีมวิจัยได้คืนข้อมูลบางส่วนให้ชุมชน เราได้กลุ่มชาวบ้านที่เข้ามาร่วมรับรู้ รับฟัง ประเด็นต่างๆ และได้พบกับผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก ประสานงานภาคประชาชนให้เข้าร่วมเวทีวันนี้ พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง กับการรวมกลุ่มคนทำดินสอพองในชุมชน


ผลจากการชวนคุย ชวนคิด ของกระบวนกร นามว่า "อ. ประเชิญ คนเทศ" แห่งลุ่มน้ำท่าจีน ได้จุดประกายเล็กๆขึ้นในพื้นที่ สะกิดความหวังที่ฝังลึก และทับถมด้วยบทเรียนความล้มเหลวของการรวมกลุ่มที่ผ่านมา
เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นอีกครั้งด้วยกลุ่มคนที่อยู่จนนาทีสุดท้าย และคนเหล่านี้แหละ จะเป็นแนวร่วมภาคประชาชนที่สำคัญในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการสร้างความยั่งยืนของชุมชนคนทำดินสอพองต่อไป

แอบเป็นกำลังใจทีมนักวิจัยในพื้นที่ ก้าวต่อไป เพราะนี่คือโอกาส การทำงานรับใช้แผ่นดินเกิด เมืองนารายณ์ ดังใจหวัง

จาก ตัวกลม