วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บันทึกถึงใยไหม ฉบับที่ ๗ "เสียงเพลง...สายสัมพันธ์จากแม่ถึงลูก"


ใยไหมลูกรัก วันนี้แม่กลับบ้านดึกอีกแล้วค่ะ แต่ลูกแม่ก็นอนดึกเช่นกัน คุณยายบอกว่า ลูกเพิ่งตื่นนอนตอนหนึ่งทุ่มนี่เอง (แม่ทำหน้าตาตกใจ พร้อมแววตาที่อิดโรย) แล้วคืนนี้แม่จะได้นอนกี่ทุ่มกันนี่ เป็นไปดังคาดคะ ตอนนี้สี่ทุ่มจะครึ่งแล้ว ลูกของแม่ยังนั่งดู "mummy and me" พร้อมทำท่าทางตามอย่างคึกคัก ไม่มีวี่แววของคนง่วงนอนแม้แต่น้อย ส่วนแม่ของลูก ก็ต้องนั่งเป็นเพื่อนลูก ดูลูกจ้องมองดูเพื่อนในจอเล็กๆ พร้อมกระดิกเท้า และขยับมือน้อยๆของลูกตามจังหวะของเพลงดังเช่นที่เคยเป็น



ลูกจ๋า วันนี้เป็นวันแรกที่ลูกร้องเพลงเองได้จนจบเพลง ทำให้แม่ทึ่งอีกแล้วคะลูก ลูกอายุยังไม่ถึงสองขวบเลย ลูกสามารถร้องเพลงให้แม่ฟังได้แล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพลงสั้นๆ แต่ก็ทำให้แม่รู้สึกดีเป็นที่สุดคะ เพลงของลูกไม่ยากคะ แต่แม่ถามพ่ออาร์ตแล้วว่าเคยได้ยินเพลงนี้ไหม พ่ออาร์ตตอบว่า "ไม่เคยได้ยินเลย" แต่สำหรับแม่ เพลงนี้แม่ได้ยินตั้งแต่เด็กๆ ชื่อเพลงอะไรนั้นแม่ก็ลืมถามคุณยาย จำได้แต่เนื้อร้อง ที่ร้องว่า "นกเอี้ยง มาเลี้ยงควายเฒ่า ควายกินข้าว นกเอี้ยงหัวโต กิโลแปดบาท ไปขายตลาด ได้ตังค์บาทเดียว" แม่ลุ้นอยู่ว่าลูกจะพูดคำว่า "ควาย" ชัดหรือเปล่า เพราะถ้าไม่ชัดแม่คงมิอาจนำมาออกอากาศได้ เพราะพ่อของลูกคะยั้นคะยอให้แม่ถ่าย clip แล้วโหลดลงใน face book เพราะพ่ออาร์ตอยากเห็น แต่เมื่อแม่ได้ฟังแล้วก็อมยิ้มแล้วตัดสินใจว่า on air ได้จ้า



มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า "ระหว่างที่คุณแม่ตั้งครรภ์ ควรให้คุณแม่ฟังเพลงให้มากๆ ลูกจะได้ฉลาด" ดังนั้น เมื่อพ่อรู้ว่าลูกมาอยู่ในพุงแม่แล้ว ก็จัดเพลงชุดใหญ่มาเลยคะลูก พ่อบอกว่า มันดีมากมาก มันคือ "Mozart music" โอ้โหลูกจ๋า แม่ฟังครั้งแรกออกอาการมึน งง และกังวลใจ "แม่ไม่รู้ว่าตอนที่ลูกได้ยินครั้งแรกจะอาการเหมือนแม่หรือเปล่า" มึน และ งง นี้เกิดจากการฟังเพลงไม่รู้เรื่อง ไม่รู้สึกว่ามันเพราะ(รสนิยมแม่คงจะไม่ถึงอะคะลูก) แล้วก็ส่งผลให้แม่รู้สึกกังวลว่า ลูกจะไม่ฉลาดเพราะแม่ฟังไม่รู้เรื่อง (ความคิดชั่ววูบโดยไม่ได้ไตร่ตรองถึงเหตุและผลก่อน) และแล้ว แม่ก็ลงทุนซื้อหูฟังอันเบ้อเร่อ ไม่ได้เอาไว้ฟังเองหรอกคะ เอาไว้แนบพุงให้ลูกฟัง อิอิ



ไม่นานนัก แม่ก็เกิดมีคำถามที่ว่า "แล้วลูกจะอารมณ์ดีได้อย่างไร ในเมื่อแม่ฟังเพลงที่แม่ไม่ชอบฟัง" และแล้ว แม่ก็เริ่มปฏิบัติการล้มเลิกการฟังเพลง Mozart มาฟังเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง และเพลงเก่าๆ สมัยแม่ยังสาว (เพราะร้องตามได้) สร้างความครื้นเครง สร้างรอยยิ้มให้แม่ได้ทุกวันเลยคะ โดยเฉพาะระหว่างทางที่แม่ขับรถ ไป-กลับ บ้านและที่ทำงาน(น่าจะมีคนทำวิจัย ผลจากการที่แม่ฟังเพลงลูกทุ่งว่าจะส่งผลให้ลูกมีไอคิวสูงขึ้นเท่าไรบ้างเนอะ)



เมื่อลูกอยู่ในพุงแม่ได้ประมาณ 4 เดือนกว่าๆ ในวันที่ 4 เมษายน 2551 เป็นวันที่ "ลูกดิ้น" เป็นครั้งแรกคะ แม่จำได้แม่นยำเลยทีเดียว เพราะลูกดิ้นตอนแม่กำลังแหกปากร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีอยู่กับ "เจ้าพาไป" ระหว่างการเดินทางกลับบ้าน แม่จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเพลงที่แม่กำลังร้องอยู่นั้นชื่อเพลง "เพื่อนกัน" ทุกครั้งที่แม่ร้องเพลง แม่มักจะร้องเพลงที่มีความหมายในชีวิตของแม่ หรือเพลงที่แม่รู้สึกดีเป็นพิเศษ และเมื่อแม่ร้องเพลงใดใด แม่ก็มักจะเล่าถึงที่มาที่ไปของเพลงนั้นให้ลูกฟังเสมอ ถึงแม้ว่าลูกจะอยู่ในพุงแม่ก็ตาม แต่พอโตขึ้นลูกส่งเสียงร้องเองได้ แม่ก็ต้องเป็นฝ่ายทึ่ฟังลูกบ้าง เพราะลูกฟังแม่มามากแล้วตั้งแต่อยู่ในพุงใช่ไหมคะ



เช่นเคยคะ ก่อนร้องเพลง "เพื่อนกัน" แม่เล่าความประทับใจที่เกิดขึ้นกับเพลงนี้ให้ลูกฟัง ลูกจำได้ไหมคะ (จำได้ก็แปลกแล้วเนอะ) "เพลงนี้เป็นเพลงที่พ่อและแม่ ร้องในงานแต่งงานของเรา ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะชื่อว่าเพื่อนกัน แต่ถ้าลูกได้ฟังเนื้อหา พร้อมท้วงทำนอง ด้วยความใส่ใจแล้วล่ะก็ ลูกจะสัมผัสได้ว่า มันมากกว่าคำว่าเพื่อนกันจริงๆ"



และวันนี้ วันที่แม่ได้ยินลูกร้องเพลงให้แม่ฟังบ้าง ทำให้แม่นึกย้อนไปเมื่อสองปีก่อนที่แม่ก็ร้องเพลงให้ลูกฟังเช่นกัน (แล้วมันจะเกี่ยวข้องกันไหมนะ) แต่แม่ว่า มันคงจะมีสายสัมพันธ์บางอย่างที่เชื่อมประสานกันระหว่างการร้องเพลงของแม่ในวันนั้น กับการร้องเพลงของลูกในวันนี้ไม่มากก็น้อย



สายใยบางๆที่ถักทอขึ้นมาตั้งแต่วันแรกที่เราได้เรียนรู้กัน สายใยความผูกพันธ์ที่เกิดขึ้นนั้น จะหนาแน่นและคงทนขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุด สายใยแห่งรักที่แม่ถักทอด้วยแรงใจ ด้วยความรักที่มีต่อลูกผืนนี้ จะคอยห่มให้ลูกอบอุ่นและสุขใจตลอดไปนะคะลูกรัก





หมายเหตุ

เพลงของคุณลุง "เบิร์ดกับฮาร์ท"ทีแม่กล่าวถึงคะลูก เพลง "เพื่อนกัน"

อยากบอกให้รู้ ฉันคือคู่ยามเธอพลั้ง
จะคอยเป็นพลัง สร้างความหวังนั้นไว้
ขอเธอจงตระหนัก ที่รัก อย่าร้องไห้
ตราบที่สองหัวใจนี่ไง ยังสู้อยู่คู่เคียงกัน

จะเป็นผู้คุ้มครองตักเตือน ดังเช่นเพื่อนผู้หวังดี
ความหวั่นกลัวทั้งหลายที่มี บอกฉันซิบอกมา
หากวันใดพบเจอ ใครทำเก้อจงรู้ว่า
โว้ว โวว ขวัญตา ซบลงมาบนบ่าฉัน

รักนั้นเป็นอย่างไร ในหัวใจใครรู้บ้าง
หากไม่มีใครชี้ทาง คงอ้างว้างกว้างไกล
ฉันไม่ใช่นักปราชญ์ อาจพลาดเพราะรักได้
เธอจงโปรดเข้าใจ และขออย่าได้อำลา

จะเป็นผู้คุ้มครองตักเตือน ดังเช่นเพื่อนผู้หวังดี
ความหวั่นกลัวทั้งหลายที่มี บอกฉันซิบอกมา
หากวันใดพบเจอ ใครทำเก้อจงรู้ว่า
โว้ว โวว ขวัญตา ซบลงมาบนบ่าฉัน
โว้ว โวว ขวัญตา ซบลงมาบนบ่าฉัน

รักลูกมากนะคะ
จากแม่ตัวกลมๆ

บันทึกถึงใยไหม ฉบับที่ ๖ "ไม่มีเวลาสอนลูกหรือจะคอยสอนลูกตอนมีเวลา"



ใยไหมลูกรัก วันนี้แม่มีโอกาสได้ใช้เวลาในช่วงเช้าก่อนออกเดินทางไปทำงานกับลูก มากกว่าทุกวันที่ผ่านมา (วันทำงาน) ลูกตื่นมาพร้อมกับวลีใหม่ๆ ลูกบอกแม่ว่า "ใยไหมอยู่กับคุณแม่" แอบยิ้มมุมปากน้อยๆ "ให้คุณตากับคุณยายไปทำงาน" อ้าว! ซะงั้น (ลูกแม่เป็นอะไรไป แม่..งง เขียนห่างกันหน่อยเดี๋ยวลูกอ่านลำบากความหมายจะเพี้ยนคะ) สงสัยฝันร้ายว่าแม่หายหรือเปล่านะ (แม่คิดเองคะ)


แล้วแม่ก็พาลูกเดินออกกำลังกายตอนเช้าก่อนอาบน้ำ แม่จูงมือลูกที่นุ่มนิ่มและค่อยๆเดิน คอยระวังไม่ให้ลูกล้ม เพราะกลัวลูกเจ็บ แต่แล้ว พอลูกเจอเต่าบ้านคุณป้านุชข้างบ้านเท่านั้นแหละ วิ่งอย่างกับจะไปกินเต่า (ไม่ใช่กินตับนะลูก) บ้านป้านุชมีเต่าอยู่สองตัว อะไรแม่มิอาจทราบได้ รู้แต่เพียงว่า เป็นเต่าบก มิใช่เต่าทะเล เพราะมันหดหัวและขาเข้าไปในกระดองได้คะลูก (แต่ถ้าลูกเห็นรูปแล้วรู้ว่าพันธุ์อะไรอย่าลืมบอกแม่ด้วยนะคะ)



แม่จ้องหน้าลูก ที่มีแววตาครุ่นคิด คิ้วชนกันเล็กน้อยถึงปานกลาง เอียงหัวนิดหน่อย จ้องมองเต่าทั้งสองตัวโดยไม่กระพริบตาเลย อย่างน้อยก็ประมาณ 20 วินาที ที่แม่จ้องลูกอยู่เช่นกัน ลูกมักจะแสดงอาการเช่นนี้ในกรณีที่เจอสิ่งที่ไม่เคยรู้จัก แน่นอนจ้าลูก ลูกรู้จักเต่าแน่นอน แต่แม่เชื่อว่า ลูกไม่เคยเห็นเต่าตัวเล็ก และลวดลายเช่นนี้ แถมยังได้สัมผัสถึงกระดองอันแข็งแรง และไม่ราบเรียบอย่างที่คิด รวมถึง มันมาอยู่ทำไมที่ในกะละมังอันนี้ ใช่ไหมคะลูก



แม่เอ่ยถามคำถามทบทวนความจำลูกในทันที โดยไม่ให้ลูกตั้งตัว

๑. เต่ากินอะไรคะลูก "กิน ผัก บุ้ง"

๒. แล้วไหนหัวเต่าคะลูก "เต่าตายแล้วแม่ ไม่มีหัว" (ความจริงเต่าหดอยู่ในกระดองเพราะใยไหมเคาะกระดองเล่นอยู่)

๓. แล้วมีอะไรอยู่ในกะละมังบ้านเต่าอีกคะลูก "ก้อนหิน เยอะแยะเลย"

๔. (เข้าโหมดเรื่องสีสัน) ผักบุ้ง สีอะไรคะลูก "สีเขียวไงแม่ แม่เห็นป่าวง่ะ" (อ้าว ไม่น่าถามเลย จำเป็นต้องตอบว่า เห็นคะลูก) ลูกคงอยากถามแม่ว่า แล้วแม่จะถามทำไมคะ

๕. กะละมังบ้านเต่า สีอะไรคะ "สีฟ้าคะ" (จริงแล้วเป็นสีน้ำเงินคะ แต่ลูกคงแยกยากเพราะไม่มีสีฟ้าจริงๆมาเปรียบเทียบให้เห็น อันนี้แม่เข้าใจ และไม่บอกลูกว่าถูกหรือผิด)

๖. แล้วหินในกะละมังสีอะไรคะลูก "สีขาว สีน้ำตาลด้วย" (ใช่คะ มันมีสองสีจริงๆ)

๗. แล้วเต่าล่ะคะสีอะไร ไม่มีคำตอบใดใดหลุดออกจากปากลูก แต่ลูกกลับพูดว่า "แล้วเต่าสีอะไร" พร้อมกับเคาะกระดองเต่าอย่างแรง เต่าหดหัวแทบไม่ทันเลยคะ แม่ต้องรีบห้ามก่อนเจ้าของเต่าจะเห็น

๘. เต่าอายุเท่าไหร่ "ยืนไงแม่" (แม่..งง ไปเกือบหนึ่งวิ นึกขึ้นได้ว่า ในการ์ตูนเรื่อง NEMO บอกว่าเต่ามีอายุยืน ถึง 150 ปี แต่ลูกคงไม่อาจเก่งกาจจำได้ทั้งหมด เลยบอกแม่ได้เพียงว่า "ยืนไงแม่" ขอบคุณคะลูก)



แม่ไม่อาจตั้งคำถามใดใดได้อีก เพราะกลัวคำตอบที่มันจะทำให้แม่ "คาดไม่ถึง" และนั่งงง อึ้งเหมือนคำตอบข้อสุดท้าย

แม่ได้สอนวิธีการช่วยเหลือเต่าทุกประเภทให้ลูกไว้ว่า "เมื่อลูกเห็นเต่าหงายท้องอยู่ ณ ที่แห่งใดก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่า เป็นช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุดของมัน เพราะมันจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย ทั้งเรื่องการเดิน การกิน การหลบภัย ฯลฯ และสุดท้าย เมื่อมันยังหงายท้องอยู่เช่นนั้นต่อไป มันก็จะต้องตายไปในที่สุด ลูกช่วยเต่าได้แน่นอนคะ (แม่รู้ว่าลูกอยากช่วย) ง่ายมากคะลูก จับตัวมันด้วยมือทั้งสองข้างที่แข็งแรงของลูก อย่างมั่นคง ค่อยๆคว่ำตัวมันลงมาให้กลับสู่สภาพปกติ และนำมันไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย เพียงเท่านี้ลูกก็ช่วยให้เต่าอายุยืนได้แล้วคะ"



เพียงช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กับการสนทนากับลูกในเรื่องของ "เต่าเต่าและก็เต่า" ก็ทำให้แม่ได้เรียนรู้ว่า

"เราไม่ต้องโหยหาที่จะได้อยู่กับลูกตลอดเวลา เพียงเพื่อจะได้สอนลูกให้เต็มที่ดั่งใจคิด ขอเพียงแค่หมั่นสังเกต โอกาสที่มีในแต่ละวัน เพื่อใช้โอกาสนั้น ทำในสิ่งที่ตั้งใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว"



ก่อนกลับ ลูกบอกแม่ว่า "แม่เจี๊ยบ แมลงวันกินเต่า" แม่มองอย่างตั้งใจ เห็นแมลงวันตัวหนึ่ง กำลังกินเต่า เอ๊ยไม่ใช่ เกาะหลังเต่าอยู่

แม่บอกลูกเพียงว่า กระดองเต่าแข็งไหมคะลูก "แข็งคะ"

แมลงวันมีฟันไหมลูก (ลูกทำหน้างง)

ระหว่างเต่ากับแมลงวัน ใครตัวใหญ่กว่ากัน "เต่าตัวหย่ายยยยยยยย"

แล้วเต่าจะกินแมลงวัน หรือ แมลงวันจะกินเต่าคะลูก (แม่พูดเพียงเท่านี้ แล้วก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ที่ทำให้ลูกแม่..งงงงงงงงงงงง บ้าง)



ความสุขเล็กๆน้อยของแม่คะลูก
จากแม่ตัวตัวกลมๆ

บันทึกถึงใยไหม ฉบับที่ ๕ "คำถามที่ไม่ต้องรอคำตอบ"


ถึงใยไหมลูกรัก วันนี้แม่กลับมาที่บ้านด้วยแรงที่่เหลือน้อยเต็มทน เพราะตั้งแต่วันอังคาร-พฤหัสบดีที่ผ่านมา แม่ต้องเดินทางไปประชุมในเมืองใหญ่ตลอด ออกบ้านแต่เช้า และกลับมาบ้านแทบไม่เหลือพลังเพื่อถ่ายทอดให้ลูกเลย และวันนี้เหมือนแม่จะไม่ค่อยสบาย แต่พอเห็นลูกวิ่งเข้ามาหา กอดแม่ และบอกว่า "ใยไหมรักแม่เจี๊ยบ" "คิดถึงเยอะแยะ" เพียงเท่านี้ พลังที่เกือบหมดกลับถูกเติมกลับเข้ามาด้วยคำพูดของลูกไม่กี่คำ ช่างเป็นเรื่องมหัสจรรย์จริงๆ



ลูกจ๋า วันนี้ลูกเริ่มมีเค้ารางของ "หนูจำมัย" มาเยือนแล้ว แม่พาลูกไปซื้อผลไม้หน้าหมู่บ้าน ลูกถามแม่ว่า "นี่ อะ ไร" แล้วชี้ไปยังผลไม้ทุกชนิดที่มีอยู่ในร้าน เมื่อแม่ตอบว่าผลไม้ที่ลูกถามมันเรียกว่าอะไรแล้ว แม่ก็จะย้อนถามลูกไปว่า "........สีอะไร" ลูกตอบถูก 99% เนื่องจากชมพู่บางลูกมันก็ดูเหมือนสีชมพู แต่บางลูกมันกลับดูเป็นสีแดงมากกว่า(อันนี้แม่เข้าใจคะ เพราะแม่ก็ยังสับสนเหมือนกันที่จะบอกลูกว่าชมพู่มันสีอะไร) กว่าจะซื้อผลไม้เสร็จ แม่ค้าหน้าเขียวเลย เพราะแม่ซื้อช้านั่นเอง



จากเหตุการณ์ในวันนี้ ทำให้แม่ตระหนักดีว่า สักวันหนึ่ง ลูกคงจะนึกถามถึงที่มาที่ไปของลูกเองว่า หนูเกิดมาเมื่อไหร่? ทำไม? และเมื่อถึงเวลานั้น แม่เองคงตั้งลำไม่ทัน ที่จะตอบคำถาม ที่มันรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร



ด้วยความกลัวของแม่ แม่จึงต้องฝึกทำข้อสอบข้อนี้ซะก่อน เพราะแม่ได้ทำการเก็งข้อสอบแล้วว่า ต้องมีสักวันที่ข้อสอบเช่นนี้ จะออกสอบจนได้



ลูกเกิดมาเมื่อไหร่นั้นง่ายมากสำหรับแม่ "ลูกเกิดมาเมื่อเก้าเดือนก่อนวันเกิดของลูก นั่นหมายถึง ประมาณเดือน พฤศจิกายน 2551 วันแรกที่แม่รู้ว่ามีลูก แม่ยอมรับว่า สับสน เป็นกังวล จะเรียกว่าดีใจไหม ก็ไม่ใช่ จะว่าเสียใจไหม ก็ไม่เชิง วินาทีนั้น จำได้ว่าร้องไห้เลยแหละ เพราะแม่หมดหวังไปแล้วกับการมีลูก เพราะแม่ตั้งใจว่าจะมีลูกเลยตั้งแต่แต่งงานกับพ่อ แต่ก็นั่นแหละ หนึ่งปีผ่านไปก็ไม่มีวี่แววเลย และแม่ก็มีเป้าหมายใหม่ในการเรียนต่อปริญญาเอกด้วยเช่นกัน เมื่อตั้งสติ และกลับมา ณ ปัจจุบัน ณ จุดที่ยืนอยู่ แม่กลับมีสติขึ้นมาอีกครั้งว่าทำไมแม่ต้องรู้สึกเช่นนี้ แม่ต้องดีใจให้มากสิ เพราะนี้คือสิ่งที่แม่รอคอยมาเกือบปีแล้ว และแล้ว แม่ก็ยิ้มอย่างอิ่มสุข พร้อมหัวใจที่พองโต และกอดพ่อของลูก และขอบคุณลูกมากที่มาอยู่กับเราทั้งสองคน"



ทำไมลูกถึงเกิดมาบนโลกใบนี้ "เป็นคำถามที่มีคำตอบได้หลากหลายมาก แต่ถ้าให้แม่ตอบล่ะก็ แม่อยากตอบว่า เพราะลูกจะต้องเกิดมาเป็นครูให้พ่อและแม่ ได้เรียนรู้โลกใบนี้ว่า การที่คนคนหนึ่ง จะโตขึ้นมาและใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ให้นานที่สุดและสุขที่สุดได้อย่างไร โจทย์ใหญ่สำหรับแม่ไม่ใช่การที่จะให้ลูกมีอายุยืนยาวที่สุด เพราะแม่ตระหนักดีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ระหว่างการเกิดขึ้น และตั้งอยู่นั้น จะอยู่อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด คุ้มค่าในที่นี้ แม่หมายความว่า ได้รู้จักโลกใบนี้อย่างมีสติ และเข้าใจถึงความเป็นไปต่างๆ เรียนรู้ที่จะจัดการกับความทุกข์ แลเรียนรู้ที่จะอยู่กับความสุขอย่างไม่ประมาท



นับตั้งแต่นั่นมา แม่เริ่มเรียนรู้กับครูตัวน้อยๆ ที่ยังเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของแม่อยู่ ลูกโตขึ้นทุกวัน และได้สร้างโจทย์ที่ต้องคอยหาคำตอบได้ทุกวัน เช่นกัน แล้วแม่จะเล่าให้ฟังในฉบับต่อไปนะจ๊ะ



วันนี้ แม่ได้ตอบคำถามให้ลูกแล้ว วันใดที่ลูกต้องการคำตอบ แม่อาจจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เพื่อคอยตอบคำถามของลูกก็ได้ แต่รับรองเมื่อลูกได้อ่าน ลูกก็จะได้คำตอบที่ตรงใจแม่ที่สุด เพราะนี่เป็นคำตอบที่แม่อยากให้ลูกรับรู้



แม่รักลูกมากนะคะ
จากแม่ตัวกลมๆ

บันทึกถึงใยไหม ฉบับที่ ๔ "ในโลกที่เงิน...ไม่มีค่า"

















ลูกจ๋า วันนี้แม่มีโอกาสได้พูดคุยกับมิตร ที่แม่เรียกว่ามิตร แทนคำว่าเพื่อนนั้น มันมีความหมายนะคะลูก "มิตร" ในที่นี้ แม่หมายถึง เพื่อน ที่ไม่ต้องคิดถึงกันตลอดเวลา ไม่ต้องถามหา ไม่ต้องพบเจอหน้า ไม่ต้องมาเมื่อเราทุกข์ใจ แต่มีอะไรพิเศษกว่า "เพื่อนร่วมโลก" เพราะเป็นเพื่อนร่วมโลกที่เราสัมผัสได้ถึงความจริงใจ และแม่มักจะสุขใจทุกครั้งที่ได้ถามไถ่ถึงความเป็นไปเมื่อมีโอกาส



ตั้งแต่แม่เกิดมา แม่ได้พบพานกับมิตร มากมาย (เอาไว้ค่อยๆเล่าให้ลูกฟังนะคะ) แต่วันนี้ มิตรที่แม่จะพูดถึงนั้น เค้ามากันเป็นเพคเกจ มีทั้ง พ่อ แม่ และลูกสาวอีกสองคน ซึ่งในอนาคต เค้าจะเป็นกัลยาณมิตรของลูก บนโลกใบนี้ และแม่ก็หวังว่า ลูกจะยินดีที่จะเป็นกัลยาณมิตรกับเค้าทั้งสองเช่นกัน แม่ได้รู้จักกับครอบครัวนี้ตั้งแต่ลูกอายุครรภ์เพียง 6 เดือน เราเจอกันที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เป็นวันที่ทั้งสองครอบครัว คอยลุ้นกันว่า ลูกจะเกิดมาเป็นเด็กหญิง หรือเด็กชาย สุดท้ายแล้ว ลูกก็เป็นเด็กหญิงทั้งคู่ (นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดีครั้นได้พบเจอกันครั้งแรก) น่าประทับใจ ที่ลูกมีเพื่อนคนแรกตั้งแต่ลูกยังไม่เกิด



นับตั้งแต่วันนั้น ถึงวันนี้ ก็สองปีกว่าแล้วที่เราทั้งสองครอบครัวได้รู้จักกัน การได้มีโอกาสรับรู้ถึงความเป็นไปอยู่ห่างๆ ผ่านทางสังคมออนไลน์ ก็เพียงพอที่เราจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันแล้ว วันนี้ ได้คุยกับคุณพ่อ(พี่รัน) ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการหาเลี้ยงครอบครัว ไม่ต่างอะไรกับพ่ออาร์ตของลูกแม้แต่น้อย คุณพ่อทั้งสอง ยังคอยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยินดีและเสียสละเป็นอย่างยิ่ง ในการประคับประคองครอบครัวให้อยู่บนวิถีแห่งสุข



หลายคำถามที่เอื้อนเอ่ยกันผ่านตัวหนังสือเล็กๆ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่เห็นแม่แต่หน้าตา ไม่ได้ยินแม่แต่เสียง แต่กลับสัมผัสได้ถึงความจริงใจ และไม่น่าเชื่อว่ามันจะส่งผ่านถึงกันได้ โดยใช้เพียงตัวอักษรไม่กี่คำเป็นสะพานเชื่อมโยงถึงความรู้สึกนี้ เรื่องราวที่ได้เล่าขาน ผ่านบทสนทนาไม่กี่บท กลับทำให้แม่หวนคิดถึงวิถีชีวิตของครอบครัวเรา ตั้งแต่ที่ลูกได้ให้โอกาสให้พ่อและแม่ ได้เรียนรู้กับคำว่า "ครอบครัว" ครอบครัวที่พ่อและแม่ได้ร่วมกัน "ก่อ ร่าง สร้าง สุข" มันขึ้นมา และวันนี้ วันที่แม่ได้ทบทวนสิ่งเหล่านี้ พร้อมกับเรียนรู้กับมันด้วยการแลกเปลี่ยนกับ"มิตร"ของเรา



ลูกคงงงสินะว่า "ก่อ ร่าง สร้าง สุข" นั้้นมันคืออะไร แม่พูดถึงเรื่องอะไรกัน



"ก่อ" คือจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่พ่อกับแม่ร่วมกันก่อหวอดความคิดที่จะคบกัน และใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน ระยะเวลาในการก่อการครั้งนี้ใช้เวลาไม่น้อย จนถึงวันนี้ก็เกือบ 10 ปีแล้วนะลูกกว่าจะได้เห็น "ร่าง" ซึ่งต่อยอดจากการก่อในหลายสิ่งหลายอย่าง จนรวมกันเป็นรูปร่าง เค้าโครงรางๆ เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางให้เราทั้งสองก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน จนวันหนึ่งถึงเวลาที่เราได้ "สร้าง" ครอบครัวเล็กๆ ซึ่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ของครอบครัวทั้งสอง และมาถึงวันนี้ วันที่พ่อและแม่ อยู่ระหว่างการเรียนรู้และ สร้างครอบครัวเล็กๆ ที่มีลูกเป็นกระจกคอยสะท้อนการเรียนรู้ของพ่อและแม่ แต่การดำเนินชีวิตของเรา เรามีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั่นคือ ความ"สุข"



การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับมิตรในวันนี้ ทำให้แม่รู้ว่า "ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์ไปซะทุกอย่าง ทุกคนย่อมมีข้อจำกัดในตัวของตัวเองกันทั้งนั้น แต่นั่นแหละ เราจะทำให้ข้อจำกัดเหล่านั้นกลายเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของเราหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน สำหรับแม่แล้ว แม่มองไม่เห็นข้อจำกัดใดใด ในการดำเนินชีวิตของครอบครัวเราแม้แต่น้อย เพราะแม่มักจะใช้โอกาสที่มีอันน้อยนิดในการดูแลลูกเสมอโดยไม่เสียเวลาในการกลัดกลุ้มกับข้อจำกัดต่างๆ เพราะแม่ตระหนักดีว่า เมื่อใดที่แม่เสียเวลากับการมองข้อจำกัดมากเท่าใด นั่นหมายถึง แม่เสียโอกาสในการดูแลลูกมากเท่านั้น และนี่คือวิถีที่แม่เลือกในการดูแลลูกและครอบครัวของเรา"



ขอบคุณ พี่รัน พี่หยก น้องฟูจิ และน้องธิเบต ที่ทำให้แม่ได้ทบทวนตัวเอง ทำให้แม่ได้เรียนรู้การจัดการกับข้อจำกัดต่างๆในชีวิต ไม่เพียงแต่เรื่องครอบครัว หรือเรื่องลูกเท่านั้น เรื่องการทำงานของแม่ด้วยเช่นกัน แม่หวังว่า เมื่อใดที่ลูกคิดว่าลูกมีข้อจำกัดมากมายที่เป็นอุปสรรคทำให้ลูกไม่สามารถดำรงชีวิตอย่างปกติสุขได้แล้วนั้น บทความถึงลูกฉบับนี้ จะช่วยให้ลูกได้เปลี่ยนมุมมองใหม่ เพื่อให้ชีวิตลูกมีความสุขได้นะคะ



ท้ายนี้ สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ในโลกนี้มีอีกมากนัก และหนึ่งในนั้นก็คือ "มิตรภาพ" ที่มีเพียงความจริงใจเท่านั้นที่จะทำให้เราหา"มิตร" เจอบนโลกใบนี้ แม่มี"มิตร"ที่ดีไม่น้อยบนโลกกลมๆใบนี้ เมื่อมีโอกาสแม่จะบอกเล่าเก้าสิบเรื่องมิตรของแม่ให้ลูกได้รู้จักนะคะ



รักลูกมากนะคะ
จากแม่ตัวกลมๆ

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บันทึกถึงใยไหม ฉบับที่ ๓ "ฉันดีใจที่มีเธอ"


ใยไหมลูกรัก แม่ห่างหายจากการบันทึกเรื่องราวถึงลูกมานานโข วันนี้ ลูกได้ทำให้แม่ประทับใจหลายสิ่งหลายอย่างที่ลูกได้ทำ แต่ก็นั่นแหละ มันคือธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง



6 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา ลูกเติบโตขึ้นจนวันนี้ 1 ปี 9 เดือนแล้วสินะ แม่มีความสุขกับการเรียนรู้ชีวิตของลูก ลูกแม่สามารถดำรงอยู่บนโลกใบนี้ได้เกือบสองปี ด้วยวิถีแห่งสุข ที่แม่และพ่อได้พยายามหล่อหลอมมันขึ้นมาจากจิตใจของเราทั้งสองคน โชคดีทีมีพลังเสริมหนุนที่แข็งแรงจากคุณตา คุณยาย คุณย่า และญาติพี่น้องทั้งหลาย หนูโชคดีมาก ที่หนูไม่เคยขาดความอบอุ่นเลย ทำให้หนูเป็นเด็กที่มีสภาวะทางจิตใจที่ร่าเริง เบิกบาน พร้อมเรียนรู้อยู่เสมอ และเพราะสิ่งนี้ สิ่งสำคัญจึงเกิด นั่นก็คือ หนูไม่เคยป่วยเลยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทำให้แม่เป็นสุขอย่างยิ่ง เพราะ"ไม่มีสุขใดจะเท่าสุขที่ลูกสุขสบายทั้งกายและใจ" ณ วันนี้ ในวัยไม่ถึงสองขวบ ลูกของแม่สามารถเรียนรู้สิ่งรอบตัวได้ดี เช่น

๑. ลูกเรียกชื่อทุกคนได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ "แม่ชื่อเจี๊ยบ พ่อชื่ออาร์ต ตาชื่อพล ยายชื่ออี๊ด ย่าชื่อรินทร์ ปู่ชื่อโกวิทย์ ปู่ตาย ลุงชื่อเอ็ม ป้าชื่อโอ๋" ถามทีบอกทั้งตระกูลเลย
๒. ลูกสามารถทานข้าวเองตั้งแต่ 9 เดือน(ใช้มือ) และตอน 1 ปี(เริ่มใช้ช้อนได้) สุดท้ายลูกทานข้าวเองทุกวัน โดยเริ่มจากการจัดโต๊ะทานข้าวก่อน แล้วเดินไปหยิบถาดอาหารและขวดน้ำมาเอง หลังจากนั้นลูกเริ่มเรียกหาผ้ากันเปื้อน พร้อมกับเดินไปล้างมือก่อนทานข้าวทุกครั้ง เมื่อทานเสร็จลูกก็นำถาดอาหารไปเก็บเอง พร้อมกับนำผ้ามาเช็ดโต๊ะด้วย ลูกทำทุกอย่างได้ครบถ้วนเมื่อตอน 1Y5M
๓. ลูกมีน้ำใจและรู้จักแบ่งปัน ลูกมักจะแบ่งของชิ้นใหญ่ๆให้ผู้อื่นเสมอ
๔. ลูกสามารถแยกแยะ และเปรียบเทียบได้ว่า สิ่งไหนใหญ่หรือเล็กกว่าสิ่งไหน
๖. ลูกจำชื่อคนแม่นมาก แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันบ่อยนัก สังเกตจากเวลาแม่พาลูกไปประชุมด้วย ลูกมักจะจำผู้ร่วมงานของแม่ได้ทุกคน
๗. ลูกรู้จักการเชื่อมโยง จากสิ่งหนึ่งไปยังสิ่งที่คุ้นชิน เช่น ลูกมีพ่อ-แม่ เวลาลูกเห็นสัตว์ในสารคดีที่อยู่กันเป็นฝูง ลูกมักจะเรียกว่า "นี่พ่อมัน(ตัวใหญ่สุด) นี่แม่มัน (ตัวขนาดรองลงมา) นี่ลูกมัน (ตัวเล็กสุด) เป็นต้น
๘. ลูกรู้จักแยกแยะเรื่องสีได้ชัดเจนโดยใช้เวลาไม่ถึงเดือน(นับตั้งแต่แม่เริ่มสอน) จนวันนี้ ทุกสิ่งอย่างลูกจะพูดเรื่องสีสันก่อนเป็นอันดับแรก(เพราะเป็นสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา) ต่อมา ลูกมักจะเชื่อมโยงกับสิ่งที่ลูกได้เรียนรู้ผ่านมาแล้ว เช่น เมื่อวันเสาร์ที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา ลูกบอกสีรถได้ทุกคัน แถมบอกได้ว่า คันไหนเป็นรถ Taxi บ้าง เป็นต้น
๙. ลูกรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะคุณตา ที่ไม่ค่อยสบาย ลูกจะชวนตาออกกำลังกายทุกเช้าโดยลูกทำเป็นตัวอย่าง ช่วยตาถอดและใส่ปลอกคอทุกวัน และที่สำคัญเวลาลูกกินขนม หรือผลไม้ ลูกจะบอกว่า "แบ่งตา แบ่งยาย ด้วยนะแม่"
๑๐. และวันนี้ ลูกท่องเลข 1-10 เป็นภาษาอังกฤษให้แม่ฟัง ได้อย่างชัดเจน และดูมีความสุข กับการที่ลูกทำได้

พัฒนาการของลูกเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม่ไม่เร่งหรือบังคับใดใดทั้งสิ้น ทุกอย่างเริ่มต้นที่ลูกเอง แม่พยายามที่จะช่วยเสริมสิ่งที่ลูกพร่องอยู่และหนุนในสิ่งที่ลูกทำได้ดี และวันหนึ่ง แม่หวังแต่เพียงว่า ลูกจะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้อย่างเป็นสุข ในยามที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่อยู่ข้างกายแล้ว

รักลูกมากนะคะ
จากแม่ตัวกลมๆ

บันทึกถึงใยไหม ฉบับที่๒ "สัมผัสลมหนาว ริมฝั่งโขง"





















"เพลงรักริมฝั่งโขง เชื่อมโยงฮักเฮาหนุ่มสาว พิณเพลงรักร้อยเรื่องราว ให้เฮาหนุ่มสาวเว้าภาษาหัวใจ" ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพลงนี้เป็นแรงบรรดาลใจ กระตุ้นความอยากให้แม่ต้องเดินทางมาริมโขงอีกครั้ง พระธาตุพนม คือเป้าหมายหลักของการเดินทางครั้งนี้ เพราะพ่อและแม่มีพระธาตุพนม เป็นวัดประจำปีเกิดจึงเกิดการเดินทางท่องมุกดาหาร ในวันที่ ๒๐ -๒๑ พ.ย. ๕๓



การเดินทางทริปนี้ ออกเดินทางตั้งแต่เวลา ๒๓.๐๐ ของวันที่ ๑๙ พ.ย. ๕๓ และไปถึงมุกดาหาร เวลาประมาณ ๐๗.๐๐ น. ของเช้าวันใหม่ ก่อนเข้าบ้าน เราแวะตลาดเช้ากันในเมืองก่อน แม่สัมผัสได้ถึงลมเย็นๆที่มาทักทายทำให้ใจชื้นและตื่นขึ้นทันที รวมถึงลูกด้วย ที่ตื่นนอนพอดี ระหว่างการเดินทาง หนูน่ารักมาก ไม่งอแง และนอนหลับมาตลอดทาง ทำให้แม่คลายกังวลไปได้มากโข กลัวว่าลูกจะมีปัญหาในการเดินทาง แม่พาลูกเดินตลาดเช้า ดูหนูจ้องมองรอบตัวด้วยความสงสัย สังเกตุจากใบไน้าที่ครุ่นคิด และกังวล แต่ว่าไม่งอแงเพราะมีแม่อยู่ใกล้ๆ หาซื้ออาหารเช้ากันแล้วเราเดินทางกันต่อไปบ้านหว่านใหญ่ ซึ่งเป็นจุดหมายแรกของเรา



พอถึงบ้านคุณย่านิ่ม และปู่จรัญ ลงรถได้ลูกก็เดินฉับฉับไม่สนใจใคร สำรวจบริเวณบ้านเป็นการใหญ่ แลดูมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก การเดินทางนี้อีกยาวไกล เราพักอยู่บ้านย่านิ่ม และไปเที่ยวพระธาตุพนม พระธาตุเรณูนคร แก่งกะเบา หอแก้วมุกดาหาร ตลาดการค้าชายแดน(อินโดจีน) สะพานข้ามแม่น้ำโขงที่มุ่งตรงเข้าสู่เมืองสะหวันเขตของลาว แวะทานก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อย(ปู่จรัญบอก) และที่สำคัญลูกได้ลอยกระทงครั้งแรกในชีวิต ณ ริมโขงแห่งนี้ เท่านี้ก็ถือว่ามากพอแล้วกับการเดินทางสองวันหนึ่งคืน



ลูกได้คำศัพท์ใหม่ๆหลายคำ เช่น นิ่มนิ่มนิ่ม รันรันรัน เป็นต้น ลูกเป็นเด็กที่แม้จะพูดคำเดี่ยวแต่ชอบพูดซ้ำ ลูกชอบการเดินทาง โดยเฉพาะเวลาที่แม่พาลูกไปที่ต่างๆ ที่มีบรรยากาศไม่เหมือนเดิม ลูกจะชอบเป็นพิเศษ ลูกปรับตัวเก่งมาก แม่ยอมรับ



การเดินทางครั้งนี้ ทำให้แม่รู้สึกว่าสนุกสนานที่ได้พาลูกไปไหนมาไหนด้วย ลูกไม่ได้ทำให้แม่ต้องเหนื่อยเลย กลับทำให้แม่มีความสุขมากที่มีลูกอยู่ข้างๆตลอดเวลา



โอกาสหน้า แม่จะพาลูกมาเยือนแม่น้ำโขงอีกครั้ง ขอสัญญา

รักลูกมากนะคะ
จากแม่ตัวกลมๆ

บันทึกถึงใยไหม ฉบับที่ ๑ "ก้าวแรก แรกเริ่ม เริ่มก้าว"


วันนี้แม่ได้อ่านบันทึกของรุ่นพี่ลาดกระบังคนหนึ่ง ที่ได้บันทึกถึงลูก "ปลายฟ้า" ที่อายุได้ 4 ขวบแล้ว ทำให้แม่เกิดแรงบันดาลใจอย่างประหลาดที่อยากจะเขียนบันทึกให้ลูก เพื่อที่ลูกจะได้ใช้บทเรียนชีวิต ที่แม่ได้ประสบพบเจอจวบจนอายุย่างเข้าสู่วัย ๓๐ ในการก้าวพ้นปัญหาที่ลูกกำลังประสบอยู่ได้



"ก้าวแรก" ในชีวิตลูก (วันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๒) กลับเป็นก้าวสำคัญในชีวิตของพ่อกับแม่ แม่ มีลูกในช่วงที่แม่อายุได้ 28 ปี หลังจากที่พ่อกับแม่ได้แต่งงานกันในปีที่ผ่านมา (พ.ศ.๒๕๕๐) แม่เพิ่งเรียนจบปริญญาโท และทำงานใน "มูลนิธินโยบายสุขภาวะ" ส่วนพ่อ "เป็นวิศวกรของบริษัทฮิตาชิ" ทำงานอยู่ที่กบินทร์บุรี ลูกคงสงสัยล่ะสินะว่าทำไมพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันที่บ้านทุกวันเหมือนครอบครัวอื่นๆ คงเป็นเพราะ ปัจจัยหลายๆอย่าง แต่สิ่งที่แสนจะสำคัญที่ลูกควรรับรู้ไว้เสมอว่า พ่อกับแม่ "รักกันมาก และรักลูกมากที่สุด"



"น้องใยไหม" ชื่อนี้แม่ตั้งใจมานานแล้วว่าจะเป็นชื่อของลูกสาวคนโตของแม่ รวมถึงชื่อ ด.ญ.ปณาฬี ทั้งพ่อและแม่ก็ตั้งใจตั้งให้ลูกเช่นกัน หนูเกิดหน้าฝน ปณาฬี แปลว่าสายน้ำ แม่หวังว่าชีวิตหนูจะชุ่มช่ำไปด้วยสายน้ำความสุข ทั้งที่เกิดขึ้นกับตัวหนูเอง และคนรอบข้างที่ได้รู้จักหนู



"ลูก" เป็นบทเรียนชีวิตที่สำคัญในชีวิตแม่ ตั้งแต่แม่รู้ว่ามีลูกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ลูกก็ช่วยสอนแม่ให้เรียนรู้และรู้จักโลกใบนี้มากขึ้น แม่เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต โดยเฉพาะช่วงชีวิตที่มีลูก บทเรียนสำคัญเหล่านี้ แม่จะพยายามถ่ายทอดให้ลูกผ่านบทความ ที่แม่จะพยายามเขียน และเก็บเกี่ยวไว้ให้มากที่สุด



และแม่หวังว่า เมื่อถึงเวลา ลูกจะได้ใช้ประโยชน์จากมันอย่างแน่นอน

รักลูกมากนะคะ
จากแม่ตัวกลมๆ